กรุงเทพฯ 24 ส.ค. – ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รายงานผลประกอบการดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน ที่ภาวะเศรษฐกิจอ่อนตัวมาก ขณะที่ไตรมาส 2 ปี 2564 มีผลประกอบการชะลอลงเล็กน้อยจากการแพร่ระบาดรอบที่ 3
นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บจ. จำนวน 738 บริษัท คิดเป็น 97.4% จากทั้งหมด 758 บริษัท (ไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน บจ. ในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC) นำส่งผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2 และงวดสะสม 6 เดือนปี 2564 สิ้นสุด 30 มิถุนายน 2564 พบว่ามี บจ. รายงานกำไรสุทธิ 566 บริษัท คิดเป็น 76.7% ของ บจ. ที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด
ในช่วงครึ่งแรกของปีก่อน บจ. มีผลประกอบการตกต่ำจากปัญหาราคาน้ำมัน และการเริ่มแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้ในงวดครึ่งแรกของปี 2564 บจ. มีผลประกอบการดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมียอดขายรวม 6,075,960 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.0% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core profit) 804,953 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 118.6% และกำไรสุทธิ 528,342 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 144.2% ตามลำดับ ทั้งนี้ปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโต คือ ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับสูงขึ้น ทั้งผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี เหล็ก ยางพารา และน้ำมันปาล์ม และผู้ประกอบการสามารถปรับตัวในการดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้หากไม่รวมหมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค และปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ บจ. ยังคงมียอดขายเพิ่มขึ้น 7.2% มีกำไรจากการดำเนินงานหลักเพิ่มขึ้น 32.2% และมีกำไรสุทธิ เพิ่มขึ้น 54.8%
อย่างไรก็ตาม สำหรับในไตรมาส 2 ปี 2564 ที่มีการแพร่ระบาดของ COVID-19 เป็นรอบที่ 3 พบว่า บจ. มีผลประกอบการชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 1 จากที่ทะยอยฟื้นตัวในช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดย บจ. มียอดขาย 3,119,488 ล้านบาท กำไรจากการดำเนินงานหลัก 408,573 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 265,403 ล้านบาท
สำหรับฐานะการเงินของกิจการ ณ ไตรมาส 2 ปี 2564 บจ. ไทยมีความระมัดระวังในการดูแลโครงสร้างของทุน ส่งผลอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) หรือ D/E ratio ลดลงมาอยู่ที่ 1.50 เท่า จากช่วงเดียวกันในปีก่อนที่ 1.54 เท่า
“ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 สถานการณ์ดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน จากปัจจัยด้านเศรษฐกิจต่างประเทศที่ทะยอยฟื้นตัว ทำให้ราคาน้ำมันและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับสูงขึ้นอย่างมาก จึงทำให้ บจ. มีผลประกอบการดีขึ้น และเป็นที่น่าสังเกตว่ามีผลบวกเกิดขึ้นในบางหมวดธุรกิจ เช่น หมวดขนส่งในธุรกิจเดินเรือที่ฟื้นตัวจากความต้องการใช้เรือขนส่งมากขึ้น และจากการแพร่ระบาดส่งผลให้หมวดธุรกิจการแพทย์ที่มีการให้บริการตรวจรับเชื้อและที่พักฟื้นมากขึ้น ทั้งนี้ หมวดธุรกิจบริการยังคงได้รับผลกระทบอยู่ค่อนข้างมาก ” นายแมนพงศ์ กล่าว
ด้าน บจ. ใน ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) มีผลประกอบการงวดครึ่งแรกของปี 2564 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างมีนัยสำคัญทุกรายการ เช่นกัน โดย บจ. มียอดขายรวม 85,299 ล้านบาท กำไรจากการดำเนินงานหลัก 5,622 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 3,851 ล้านบาท . – สำนักข่าวไทย