กรุงเทพฯ 7 ส.ค.-“พล.ประวิตร” สั่งการ บจธ. ติดตามโครงการบริหารจัดการที่ดินอย่างยั่งยืน ช่วยเหลือเกษตรกรให้มีที่ดินทำกิน และโครงการแก้ไขปัญหาการสูญเสียสิทธิ์ในที่ดินของเกษตรกรและผู้ยากจน จากการจำนอง ขายฝาก และถูกบังคับคดี ได้มีที่ดินของตนเองกลับคืนมา
7 สิงหาคม 2564 พลตำรวจเอก เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน ประธานกรรมการสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) หรือ บจธ. กล่าวว่า พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแล บจธ. มีความห่วงใยความเป็นอยู่ของพี่น้องเกษตรกร ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ซึ่งมีแนวโน้มว่าเกษตรกรและผู้ยากจนอาจจะสูญเสียสิทธิในที่ดินทำกินสูงขึ้น จึงสั่งการให้ บจธ. ดำเนินการติดตาม โครงการบริหารจัดการที่ดินอย่างยั่งยืน ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้วจำนวนพื้นที่ 1,234-2-17.7 ไร่ ช่วยเหลือกลุ่มเกษตรกรให้มีที่ดินทำกิน จำนวน 482 ครัวเรือน และโครงการแก้ไขปัญหาการสูญเสียสิทธิ์ในที่ดินของเกษตรกรและผู้ยากจน จากการจำนอง ขายฝาก และถูกบังคับคดี ได้มีที่ดินของตนเองกลับคืนมาจำนวน 334 ราย และในปี 2565 ที่แม้ บจธ. มีภารกิจสำคัญต้องผลักดันกฎหมายแต่เบื้องต้นคณะรัฐมนตรีพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้ บจธ. แก้ปัญหาเกษตรกรที่ยังเดือดร้อนหนักอีกจำนวนหนึ่งให้แล้วเสร็จ
นายกุลพัชร ภูมิใจอวด ผู้อำนวยการ บจธ. เปิดเผย บจธ. ได้เตรียมความพร้อมในกระบวนการเพื่อพิจารณาให้ช่วยเหลือในสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 โดยมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของพี่น้องเกษตรกรและชุมชน ให้พึ่งพาตัวเองได้ และแบ่งปันผู้เดือดร้อน ในช่วงการระบาดโควิด-19 โดยพบว่าวิสาหกิจชุมชน 11 พื้นที่ สหกรณ์การเกษตร 1 พื้นที่ ครอบคลุมทั้ง 4 ภาค (ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออก และตะวันออกเฉียงเหนือ) มีความเข้มแข็ง มีผลผลิตและผลิตภัณฑ์การเกษตรปลอดสารพิษเพื่อบริโภคและจำหน่าย สร้างรายได้เลี้ยงดูครอบครัว ทำให้สามารถจ่ายค่าเช่าที่ดิน และค่าเช่าซื้อที่ดินกับ บจธ.
“จากการระบาดโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรรายย่อย ทำให้ที่ดินหลุดมือเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเกษตรกรมีภาระหนี้สินทั้งในระบบและนอกระบบ ไม่สามารถชำระหนี้สินได้ ปัจจุบันเกษตรกรรายย่อยมีปัญหาที่ดินจะหลุดมือ หรือหลุดมือไปแล้ว ได้ขอความช่วยเหลือจาก บจธ. จำนวน 900 กว่าราย เข้าหลักเกณฑ์จำนวน 630 ราย และมีเกษตรกรผู้ยากจนอีกจำนวนมากที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน หน่วยงานของรัฐและเอกชนได้ ทำให้ไปใช้บริการเงินกู้นอกระบบ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยแพงมากเกินกฎหมายกำหนด จึงมีแนวโน้มจะถูกยึดที่ดินทำกิน ในปีงบประมาณ 2565 แม้ บจธ. จะได้รับการพิจารณางบประมาณแก้ปัญหาเรื่องที่ดิน เพียง 25 ล้านบาท ซึ่งในงบประมาณในส่วนนี้ บจธ. สามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้เพียง 25 ราย ก็ตาม นายกุลพัชรกล่าว
ระหว่างปี 2559 – 2562 บจธ. ได้ช่วยเหลือแก้ไขปัญหาการสูญเสียสิทธิในที่ดินของเกษตรกรและผู้ยากจนไปแล้ว 334 ราย รวมเนื้อที่ 2,319 ไร่เศษ ซึ่งยังอยู่ในช่วงการชำระสินเชื่อ
ลุงสำรวย อายุ 53 ปี เกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการแก้ไขปัญหาการสูญเสียสิทธิ์ในที่ดินของเกษตรกรและผู้ยากจน พื้นที่ภาคเหนือ อาศัยอยู่หมู่ที่ 4 ตำบลท่าขมิ้น อำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทำนา ทำไร่มันสำปะหลัง ปลูกพืชผสมผสาน และเผาถ่าน ได้ทำสัญญาค้ำประกันสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี ต่อมาลุงสำรวยฯ กับญาติ ถูกฟ้องบังคับชำระหนี้ และถูกบังคับยึดทรัพย์เพื่อขายทอดตลาด และขอความช่วยเหลือกับหลายหน่วยงาน สุดท้าย บจธ. ให้ความช่วยเหลือจนได้ที่ดินกลับคืนมา
“ขอขอบคุณทุกหน่วยงานเลยครับ และ บจธ. ที่มาช่วยเหลือคนที่ที่ดินหลุดมือโดยไม่ได้ตั้งใจ เข้ามาช่วยได้ทันท่วงที ปัจจุบัน ลุงก็มีรายได้ไม่มาก แต่ก็พออยู่ได้ พอส่งให้ บจธ. ไหวครับไม่แพง เหลือก็เก็บไว้ ชีวิตไม่เครียดไม่อะไรแล้ว อยากให้คนที่เจอแบบกับลุงนี่นะ ได้รับการช่วยเหลือ ขอบคุณมากเลยครับ” ลุงสำรวยกล่าว
เช่นเดียวกับลุงวิสูติ อายุ 51 ปี เกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการฯ ในพื้นที่ภาคกลาง ประกอบอาชีพ เกษตรกรรม ทำนา และรับจ้างทั่วไป อาศัยอยู่ที่ หมู่ที่ 3 ตำบลนางบวช อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี ได้เช่าที่นา และประสบปัญหาเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลระบาดในนาข้าว ทำให้ขาดทุน ประกอบกับส่งบุตรเรียนหนังสือ ต้องนำที่ดินไปขายฝาก แต่ไม่มีเงินชำระหนี้ จึงยื่นร้องขอความช่วยเหลือมายัง บจธ. ทำให้ที่ดินที่หลุดขายฝากได้กลับคืนมา
“ ขอสินเชื่อไม่ได้ เราไม่มีหลักประกัน วันนั้นหน่วยงานเค้ามีหนังสือตอบกลับมา บอกว่าเราได้รับการช่วยเหลือแล้ว แทบพูดไม่ออกเลย ตื้นตันใจ ที่ยังมีหน่วยงานที่ยังมองเห็นคุณค่าของเรา” ลุงวิสูติ กล่าว
ป้าอุทัย อายุ 58 ปี เกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการฯ ในพื้นที่ภาคอีสาน อาศัยอยู่ที่ หมู่ที่ 8 ตำบลหนองบัว อำเภอคง จังหวัดนครราชสีมา ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทำนา ไร่อ้อย มันสำปะหลัง เลี้ยงวัว ค้าขาย และรับจ้าง เมื่อปี 2558 ทำสัญญาขายฝากที่ดินแปลงดังกล่าว จนกระทั่งปี 2560 ป้าอุทัย ประสบปัญหาขาดทุนจากการทำไร่อ้อย ไม่มีเงินชำระดอกเบี้ยจึงทำให้ที่ดินหลุดไป จึงเดินทางมายัง บจธ. เพื่อขอรับความช่วยเหลือจาก บจธ. จำนวนเนื้อที่ 6-1-47.1 ไร่ และ 7-0-00 ไร่ แล้วจัดให้ป้าอุทัยฯ เข้าทำประโยชน์ในที่ดินโดยการเช่าซื้อ
“ถ้า บจธ. ไม่มาช่วยป้าก็ไม่รู้จะไปพึ่งใครแล้ว ไปมาหลายหน่วยงาน เค้าบอกเค้าช่วยไม่ได้ ที่ดินอยู่กับเจ้าหนี้แล้ว ป้าไม่มีหลักประกันที่ไหนมาค้ำประกันแล้ว ไม่คิดว่าจะมีหน่วยงานแบบ บจธ. ที่ช่วยเราได้ ป้าไม่รู้จะขอบคุณอย่างไรดี ตอนนี้ป้าก็ปลูกผักสวนครัว เก็บเงินส่ง บจธ. ไหวสิ ไหวอยู่แล้วโควิดมาเราก็ต้องรับสภาพเหมือนกันหมด” ป้าอุทัย กล่าว
ป้าพรทิพย์ อายุ 50 ปี เกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการฯ ในพื้นที่ภาคใต้ ปัจจุบันมีอาชีพรับจ้างทั่วไป ทำสวนยาง สวนมะม่วง และสวนปาล์มน้ำมัน อยู่ที่ หมู่ 10 ต.นากระตาม อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร ได้ทำสัญญายืมเงินและทำหนังสือสัญญาขายฝากที่ดิน พร้อมบ้านพักอาศัย ไว้กับผู้รับซื้อขายฝาก เพื่อนำเงินมาลงทุนและรับซื้อของเก่ามาขาย แต่รายได้จากการรับซื้อของเก่ามีไม่เพียงพอ ซ้ำโรงงานที่ตนเองไปรับจ้างผลิตผลไม้กระป๋องก็ปิดกิจการ สุดท้ายที่ดินของป้าจึงต้องตกเป็นของเจ้าหนี้ บจธ. ได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือในกรณีดังกล่าว โดยได้ติดต่อประสานงานกับป้าและเจ้าของที่ดินในปัจจุบันเพื่อขอซื้อที่ดินดังกล่าวคืน ซึ่งก็เป็นสิ่งที่น่ายินดีที่เจ้าของที่ดินได้ยินยอมให้ความอนุเคราะห์ขายที่ดินคืนให้แก่ ป้าพรทิพย์
“ที่ดินตรงนี้เป็นที่ของพ่อแม่ เป็นที่ผืนสุดท้ายแล้ว ถ้าไม่มีที่ตรงนี้แล้วเราก็ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน หลังจากที่ป้าได้รับหนังสือตอบกลับ ป้าก็ดีใจมากๆ ชีวิตนี้ไม่คิดว่าจะได้ที่ดินของตัวเองคืน ทีแรกไม่คิดว่าจะมีหน่วยงานไหนช่วยเราได้ เพราะเราไม่มีหลักประกัน ไม่รู้ว่าจะพูดขอบคุณยังไงดี ขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขอบคุณ บจธ. จริงๆ อยากให้คนที่ตกทุกข์ได้ยากแบบป้าได้รับความช่วยเหลือจาก บจธ. โครงการนี้ดีมากๆ อยากให้คนรู้จักเยอะๆ ขยายความช่วยเหลือไปทั่วประเทศจะดีมากๆ เลย” ป้าพรทิพย์กล่าว
ทั้งนี้ เกษตรกรและผู้ยากจนที่ประสบปัญหาเรื่องที่ดินทำกินสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องที่ดินทำกินได้ที่ โทร 02-278-1648 ต่อ 115, 02-278-1244 ต่อ 610 หรือ 063-214-7844 อีเมล์ saraban@labai.or.th”.-สำนักข่าวไทย