ทำเนียบฯ 29 ก.ค. – นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตปากีสถานฯ เร่งผลักดันการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย-ปากีสถาน ให้แล้วเสร็จ เพื่อกระตุ้นการค้าและการลงทุน เพิ่มโอกาสฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19
นายอะศิม อิฟติคัร อะห์หมัด เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามปากีสถานประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสพ้นจากหน้าที่
ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวสรุปสาระสำคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรี ขอบคุณเอกอัครราชทูตฯ ที่มีบทบาทสำคัญในการกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างไทย-ปากีสถาน ในมิติต่าง ๆ ตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง และยินดีเป็นอย่างยิ่งในโอกาสครบรอบ 70 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันในปีนี้ ยืนยันว่า ไทยพร้อมกระชับความสัมพันธ์กับปากีสถานให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น แม้ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การส่งเสริมความร่วมมือโดยเฉพาะด้านการค้าการลงทุน จะสามารถช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจระหว่างกันได้ต่อไป
เอกอัครราชทูตฯ กล่าวขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นเสมอมา ถือเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้มาดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตในประเทศไทย ซึ่งตลอดระยะเวลาของการทำงานได้เห็นถึงพัฒนาการของความสัมพันธ์และความร่วมมือของทั้งสองฝ่ายในหลาย ๆ ด้าน เช่น ด้านการค้า การศึกษา และการท่องเที่ยวและวัฒนธรรม ในโอกาสนี้ ประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีของปากีสถาน ได้ฝากความระลึกถึงมายังนายกรัฐมนตรี และยืนยันความตั้งใจที่จะสานต่อและขยายความร่วมมือกับไทยให้มากขึ้น ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตฯ กล่าวเชื่อมั่นในการทำงานของรัฐบาลไทย ว่าจะสามารถบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยศักยภาพในการบริหารจัดการของนายกรัฐมนตรี และประสิทธิภาพทางด้านสาธารณสุข
ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันในหลายประเด็น ได้แก่ ด้านการค้าการลงทุน จะผลักดันการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย-ปากีสถาน ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อกระตุ้นการค้าและการลงทุนระหว่างกัน นายกรัฐมนตรีเห็นว่า ทั้งสองประเทศจะสามารถใช้ประโยชน์จากที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ให้เป็นศูนย์กลางทางการขนส่งสินค้า และยินดีส่งเสริมการลงทุนของไทยในปากีสถานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคเอกชน ในส่วนของเอกอัครราชทูตฯ เห็นว่าไทยเป็นคู่ค้าที่สำคัญของปากีสถานในภูมิภาคเอเชียใต้ ยินดีให้การสนับสนุนภาคเอกชนไทยที่ต้องการขยายการลงทุนในปากีสถาน
ด้านการศึกษา ทั้งสองฝ่ายยินดีสานต่อความร่วมมือด้านการศึกษา โดยเฉพาะในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่ปากีสถานมีความชำนาญ ซึ่งไทยพร้อมที่จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการศึกษาทางไกล อาชีวศึกษา เทคโนโลยีการเกษตร (Smart farming) และการแปรรูปอาหาร
ด้านการท่องเที่ยวและวัฒนธรรม ทั้งสองฝ่ายยินดีที่จะส่งเสริมความสัมพันธ์ระดับประชาชนในด้านการท่องเที่ยว โดยเฉพาะทางพุทธศาสนาที่ทั้งสองประเทศมีวัฒนธรรมร่วมกัน ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีได้เสนอแนะโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ของไทย เปิดรับนักท่องเที่ยวตามมาตรการทางสาธารณสุขที่กำหนด ถือเป็นโครงการนำร่องให้แก่จังหวัดอื่น ๆ ของไทย และประเทศอื่น ๆ เพื่อโอกาสในการแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยวระหว่างกันได้ในอนาคต.- สำนักข่าวไทย