ทำเนียบ 15 มิ.ย.-นายกฯ ขออภัยเกิดปัญหาจัดสรรวัคซีน สั่งทุกหน่วยงานร่วมมือแก้ไข ปรับการจัดคิวรับวัคซีนสอดคล้องกับปริมาณในแต่ละรอบ ย้ำกลุ่มเลื่อน ใช้ลำดับเดิม ไม่ต้องลงทะเบียนใหม่
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ถึงแนวทางการบริหารจัดการ และการฉีดวัคซีนที่กำหนดเป็นวาระแห่งชาติ และเริ่มคิกออฟ มาตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. เป็นต้นมาว่า จนถึงขณะนี้สามารถกระจายวัคซีนไปทั่วประเทศแล้ว มากกว่า 7 ล้านโดส และฉีดวัคซีนให้ประชาชนแล้วมากกว่า 6.5 ล้านโดส ซึ่งตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. นับมาหนึ่งสัปดาห์ สามารถฉีดวัคซีนได้ถึง 2 ล้านโดส ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการฉีดวัคซีน ดังนั้นทำให้เห็นได้ว่าเมื่อมีวัคซีนเข้ามาเพิ่มขึ้น ไทยก็จะฉีดวัคซีนได้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ทุกอย่างเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ทุกคน เจ้าหน้าที่ จิตอาสา ทุกจุดบริการ ที่ร่วมมือร่วมใจอย่างเต็มที่ ซึ่งได้รับคำชมเชยจากประชาชนผ่านมายังตนเอง
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าการที่ประชาชนได้รับข้อมูลจากข่าว หรือประกาศการเลื่อนฉีดวัคซีนออกไปจากโรงพยาบาลต่างๆ อาจทำให้เกิดความไม่สบายใจ และเกรงว่าภาครัฐจะจัดสรรวัคซีนไม่เพียงพอ หรือไม่ได้ประสานงานอย่างดีเพียงพอ ซึ่งตนรับทราบข้อมูลเหล่านี้มาตลอด และพยายามแก้ไขปัญหาเต็มที่ ยอมรับอย่างจริงใจว่าตนเองไม่สบายใจกับปัญหาเหล่านี้ ดังนั้นจึงมีการติดตามสั่งการ ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกวันและต่อเนื่อง เพื่อต้องการให้ประชาชนได้รับประโยชน์และมีความสบายใจ ทั้งนี้ประเด็นสำคัญอยู่ที่วัคซีนที่จะทยอยเข้ามา ที่ต้องมีความสมดุลกับขีดความสามารถในการฉีดของแต่ละวัน รวมถึงต้องกำหนดระยะเวลาในการฉีดให้เหมาะสมกับปริมาณของวัคซีน เพราะหากฉีดจนวัคซีนหมด ก็จะเกิดปัญหาต้องหยุดฉีดวัคซีน ซึ่งทั้งหมดคือ ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น แต่ทั้งนี้หากมีวัคซีนเข้ามามาก ก็จะจัดสรรเพิ่มเติม ไปให้กับแต่ละจุด เพื่อให้ภาพรวมการฉีดวัคซีนปรับดีขึ้น อย่างต่อเนื่อง
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า วาระแห่งชาติเรื่อง การฉีดวัคซีนนั้น แต่ละหน่วยงานมีบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบ คงไม่ใช่สิ่งที่ตนเองรวบอำนาจการตัดสินใจไว้เพียงผู้เดียว โดย ศบค. เป็นองค์กรสูงสุด รับผิดชอบกำหนดนโยบายและหลักการ ในการจัดสรรวัคซีนให้กับแต่ละจังหวัด โดยแต่ละจังหวัดจะได้รับวัคซีนตามสัดส่วนของประชากร และเพิ่มเติมให้กับจังหวัดที่มีสถานการณ์ระบาด รวมถึงเพิ่มกลุ่มบุคคลที่มีความจำเป็นต่อเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวการศึกษาและอื่นๆ , หน่วยงานหลักที่รับมอบนโยบาย คือกระทรวงสาธารณสุข ที่จะกำหนดว่าวัคซีนที่ได้รับในแต่ละรอบ จะจัดส่งในแต่ละจังหวัด เป็นจำนวนเท่าใด ตามหลักการการจัดสรร โดยจะจัดส่งวัคซีนในแต่ละรอบกระจายไปทั่วประเทศทันที โดยอาจใช้เวลาตรวจสอบในเรื่องความปลอดภัยบ้าง , ความรับผิดชอบของแต่ละจังหวัดและแต่ละพื้นที่ จะเป็นผู้กำหนดว่าโรงพยาบาลหรือจุดฉีดจะได้รับวัคซีนเป็นจำนวนเท่าใด และต้องคำนึงถึงช่วงเวลาที่จะได้รับวัคซีนในรอบถัดไป เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างต่อเนื่องและราบรื่น เนื่องจากการได้รับวัคซีนจะมาเป็นรอบ ไม่ได้เข้ามาครั้งเดียว 6 ล้านโดส หรือ 10 ล้านโดส
“สูตรการจัดสรรวัคซีนโดยสรุปที่ผมได้กำหนดเป็นนโยบายไปคือ เมื่อวัคซีนเข้ามา กระทรวงสาธารณสุข ต้องเร่งตรวจสอบ และกระจายในทันที โดยไม่มีจังหวัดใด ที่ไม่ได้รับวัคซีนเพิ่มเติมในแต่ละรอบ ซึ่งอนาคตอาจยกเว้นในจังหวัดที่ได้ครบตามเป้าหมายแล้ว หรือบางจังหวัดที่ ศบค. พิจารณาว่า ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งขึ้นอยู่กับสถานการณ์การแพร่ระบาดในแต่ละพื้นที่ และจำนวนวัคซีนที่นำส่งขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านจำนวนประชากร จำนวนผู้ติดเชื้อ จำนวนผู้จองผ่านช่องทางต่างๆ หรือกลุ่มเฉพาะอาชีพเสี่ยง และพื้นที่เศรษฐกิจ ที่เป็นต้นทุนด้านการส่งออกของประเทศ ซึ่งหากจำนวนวัคซีนที่ได้คำนวณแล้วไม่เพียงพอต่อการฉีดในรอบนั้น ให้แต่ละจังหวัดและจุดฉีดต่างๆ พิจารณาฉีดให้กับผู้สูงอายุ และกลุ่มที่มีโรคเสี่ยงต่างๆ ที่ลงทะเบียนไว้ก่อนแล้ว และหากมีความจำเป็นต้องชะลอการฉีดวัคซีนตามกำหนดเดิม ระหว่างรอการจัดส่งวัคซีน ต้องยึดลำดับการฉีดเดิมไว้ก่อน โดยไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ และ เริ่มฉีดให้กับลำดับเดิมนั้นทันทีหลังจากได้รับวัคซีน ซึ่งเชื่อว่าทุกคนจะมีความเข้าใจตรงกันและดำเนินการตามนโยบายนี้ เพราะเป็นสิ่งที่มาจากมติที่ประชุมเกี่ยวกับการบริหารจัดการวัคซีน”นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี เชื่อว่าทุกฝ่ายพยายามดำเนินการ ทุ่มเท เพื่อให้บริการประชาชนอย่างดีที่สุด แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยที่ควบคุมได้ยาก เช่น การนำส่งวัคซีนที่ต้องใช้ระยะเวลา การผลิตและการตรวจสอบคุณภาพ เพราะไม่อาจกำหนดได้แน่นอนในทุกครั้ง ว่าจะได้รับวันใดเวลาใด เพราะจะได้รับวัคซีนเป็นรอบ เช่นเดียวกับหลายประเทศทั่วโลกที่ต้องพบกับปัญหาในลักษณะนี้ ขณะที่ไทยยังมีข้อได้เปรียบ เพราะมี บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ ซึ่งผลิตวัคซีนของแอสตราเซนเนกาตั้งอยู่ในประเทศไทย ทำให้ง่ายต่อการจัดส่ง ซึ่งเป็นปัจจัยที่บริษัทแอสตราเซนเนกา จะนำมาพิจารณาและขณะนี้ไทยถึงเป็นฐานการผลิตที่สำคัญในอาเซียน โดยจะใช้ฐานของไทยจัดส่งวัคซีนในประเทศอาเซียนด้วย
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า อีกปัจจัยคือการปรับแผนการฉีดวัคซีน จากสถานการณ์การระบาดที่เกิดขึ้น ซึ่งเปิดให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงและประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ได้รับการฉีดเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด อีกส่วนเพื่อผลทางเศรษฐกิจ ลดการปิดกิจการโรงงาน เพื่อให้ภาคการผลิตเดินต่อ ทำให้อาจไปกระทบกับผู้ที่ลงทะเบียนไว้บางส่วน ทั้งนี้การแก้ปัญหาโควิด-19 มีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการประสานงานบ้าง โดยสั่งการให้ทุกหน่วยงาน ต้องพยายามแก้ไขปรับปรุง การทำงานตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น สร้างการรับรู้ให้เกิดความเข้าใจกับประชาชน ซึ่งตนในฐานะนายกรัฐมนตรี และ ผอ. ศบค. ที่รับผิดชอบการแก้ไขสถานการณ์ครั้งนี้ ต้องขออภัย ต่อปัญหาที่เกิดขึ้น และขอรับผิดชอบแก้ไขปัญหาทั้งหมด ซึ่งย้ำว่าได้ทำมาอย่างต่อเนื่องในทุกเวลา ทุกคนต้องร่วมมือกันให้การทำงานประสบความสำเร็จเพื่ออนาคตของชาติ ซึ่งอุปสรรคอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะที่ทั่วโลกมีวัคซีนจำนวนจำกัด แต่รัฐบาลก็ได้วางแผนล่วงหน้า ทำให้มั่นใจว่าจะได้รับวัคซีนอย่างต่อเนื่อง และมีปริมาณมากขึ้นตามลำดับที่มาจากหลายแหล่ง จึงย้ำว่า รัฐบาลจะจัดหาวัคซีนให้เพียงพอกับประชาชนทุกคน ซึ่งขณะนี้จะทำได้ตามเป้าหมาย 100 ล้านโดส สำหรับประชาชน 50 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 70 ของทั้งประเทศภายในสิ้นปีนี้ พร้อมเตรียมการไว้สำหรับปีหน้า หากได้รับวัคซีนเพิ่มเติมก็จะมีการฉีดให้ประชาชนเพิ่มเติม ให้เป็นสัดส่วนร้อยละ 80-90 ของประชาชน นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่าทุกอย่างต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส ไม่เกิดการทุจริต โดยเชื่อมั่นว่า ด้วยศักยภาพ ของทุกคนและความทุ่มเทของบุคลากรทุกคน จะทำให้ไทยชนะสงครามโควิดไปด้วยกันอย่างแน่นอน.-สำนักข่าวไทย