จันทบุรี 25 เม.ย. – แม่ร้องทุกข์สื่อ ไขปมคลิปเสียงสนทนากับลูกสาว หลังถูกคนในเครื่องแบบอุ้มหายตัวไปกักขัง อ้างถูกจับยาเสพติด พร้อมรีดเงิน 30,000 แลกกับการปล่อยตัวลูกสาว
คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทยได้รับการร้องเรียนจากนางนิ (นามสมมุติ) อายุ 33 ปี ชาวบ้าน อ.นายายอาม จ.จันทบุรี อาชีพรับจ้าง เดินทางมาพบ พร้อมนำหลักฐานเป็นเอกสารบันทึกการแจ้งความ และคลิปเสียงที่เป็นการสนทนา ระหว่างนางนก กับ น้องไหม (นามสมมุติ) ผู้เป็นลูกสาว ที่ถูกคนในเครื่องแบบอุ้มตัวไปกักขังยังสถานที่แห่งหนึ่ง อ้างว่าถูกจับคดียาเสพติด พร้อมเรียกเงิน 30,000 บาท ไปไถ่ตัว แลกกับอิสรภาพของลูกสาวนางนก
จากการตรวจสอบคลิปเสียงดังกล่าว พบเป็นการสนทนาพูดคุยกันระหว่างนางนิ กับ น้องไหม ลูกสาว โดยลูกสาวได้ส่งเสียงคล้ายกับถูกบังคับข่มขู่ เร่งเร้าสอบถามแม่ว่า เดินทางถึงไหนแล้ว พร้อมกับหันไปเรียกบุคคลในห้อง ว่า “พี่ๆ แม่กำลังเดินทางมา และจะมาคุยที่ห้อง” แต่บุคคลในห้องไม่ส่งเสียงตอบรับ
ขณะที่นางนกได้พูดตอบว่า กำลังขี่มอเตอร์ไซค์ไปหา ให้รอก่อน รีบไม่ได้ เพราะฝนตก พร้อมพยายามสอบถามลูกสาวว่า เขาต้องการเงินเท่าไหร่ 30,000 บาทหรือเปล่า จะได้เตรียมเข้าไป และถามอีกว่าเป็นค่าปรับหรือค่าอะไร และจะได้เงินคืนไหม
ด้านลูกสาวได้พูดตอบกลับไปว่า หนูถูกจับอยู่นี่ เขาไม่คุยด้วย ให้แม่รีบมาคุยที่ห้องแผนก ข้างหลัง…. (สถานที่ราชการแห่งหนึ่ง) และถามย้ำซ้ำๆ ว่าถึงไหนแล้ว ก่อนที่เสียงถูกตัดไป
จากการสอบถามนางนก ผู้เสียหาย บอกว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 เม.ย.64 เวลาประมาณ 20.00 น. น้องไหม ลูกสาว ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ออกจากบ้านที่อำเภอนายายอาม แล้วหายตัวไป
ต่อมาวันที่ 20 เม.ย.64 นางนกได้รับการติดต่อทางโทรศัพท์จากลูกสาวว่า ถูกเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบจับกุมตัวในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และถูกควบคุมตัวไว้ที่สถานที่แห่งหนึ่ง ขอให้นางนก ผู้เป็นแม่ นำเงินจำนวน 30,000 บาท ไปให้เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม เพื่อจะได้รับการปล่อยตัว แต่ตนเองเห็นว่าลูกสาวอยู่ในระหว่างฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด และพักอาศัยอยู่กับตนเองตลอดเวลา ไม่เชื่อว่าลูกสาวจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดอีก จึงไม่นำเงินไปมอบให้
ในวันเดียวกัน (20 เม.ย.) เวลา 13.40 น. เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้นำตัวน้องไหม ลูกสาวของนางนก พร้อมของกลาง เป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์) น้ำหนัก 3.80 กรัม โดยกล่าวหาว่ามียาเสพติดให้โทษประเภท 1(ไอซ์) ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย ส่งพนักงานสอบสวน สภ.นายายอาม เพื่อสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนเองคิดว่าเป็นเรื่องไม่ชอบมาพากล และมีเงื่อนงำน่าสงสัยหลายอย่าง เบื้องต้นจึงได้นำคลิปเสียงและหลักฐานอื่นๆ เข้าแจ้งความร้องทุกข์ ต่อพนักงานสอบสวน สภ.นายายอาม ให้ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมกลุ่มนี้ ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ
ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวยังได้รับข้อมูลอีกว่า ยังมีผู้เสียหายที่ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์อ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ก่อเหตุในลักษณะเดียวกันนี้อีกหลายเคส
เบื้องต้น ได้มีการแจ้งความไว้เป็นหลักฐานแล้ว และผู้เสียหายจะรวมตัวกันนำหลักฐานเข้าร้องทุกข์กับนายสุธี ทองแย้ม ผู้ว่าฯ จันทบุรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในวันพรุ่งนี้ (26 เม.ย.) เพื่อขอความเป็นธรรมด้วย และเร่งรัดให้ดำเนินคดีต่อไป
ว่าที่เรือเอกอธิคม พัฒนโชติ นักกฎหมาย มองว่า ปัญหาเรื่องการยัดข้อหา หรือแต่งสำนวนเพื่อเพิ่มโทษผู้ต้องหาในคดียาเสพติดเกิดขึ้นมานานแล้ว คดียาเสพติดจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ผู้เสพ กับ ผู้ค้า ถ้าถูกจับในฐานะผู้เสพ หรือครอบครองเพื่อเสพ อัตราโทษส่วนใหญ่มักส่งตัวไปบำบัดฟื้นฟูในเรือนจำ โดยศาลจากกำหนดระยะเวลาในการบำบัด แต่ในกรณีครอบครองเพื่อจำหน่าย อัตราโทษจะสูงขึ้น โทษจำคุกตั้งแต่ 4 ปีถึง 15 ปี ปรับตั้งแต่ 80,000-300,000 หรือทั้งจำทั้งปรับ
กรณีการร้องเรียนในหลายจังหวัด ในช่วงนี้ว่าถูกตำรวจยัดข้อหาหรือเขียนสำนวนเพิ่มปริมาณตัวยาสูงกว่าที่ถูกจับกุม หากพิสูจน์ทราบและพบว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำผิดตามที่ถูกร้องเรียน จะมีความผิดตามกฎหมายหลายมาตรา ประกอบด้วย
1.มาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งมีอัตราโทษ จำคุกตั้งแต่ 1 ปีถึง 10 ปี ปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2.มาตรา 172 เป็นเจ้าพนักงาน (ในกรณีตำรวจสืบจับและส่ง พนง.สอบสวน โดยระบุตัวเลขยาเกินจริง) แจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานในการยุติธรรม มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
3.มาตรา 174 วรรค 2 แกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษหรือให้ได้รับโทษหนักขึ้น คุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท
4.มาตรา 179 ทำพยานหลักฐานเท็จ เพื่อแจ้งให้พนักงานสอบสวน ว่าได้กระทำผิดอาญา หรือกระทำผิดอาญาร้ายแรงกว่าความเป็นจริง อัตราโทษ จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นอกจาก 4 ข้อหาข้างต้นแล้ว หากคดีเข้าสู่ชั้นศาล ตำรวจกระทำผิดเพิ่ม จะเข้าสู่ความผิดข้อหาที่ 5. มาตรา 180 วรรค 2 นำสืบและแสดงหลักฐานเท็จ ในคดีอาญา อัตราโทษไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท
6.ซึ่งเป็นข้อหาที่สำคัญ มาตรา 200 ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม กลั่นแกล้งให้บุคคลใดต้องรับโทษ หรือรับโทษหนักขึ้น อาจถูกลงโทษ ถึงขั้นจำคุกตลอดชีวิต หรือคุกตั้งแต่ 1 ปีถึง 20 ปี ปรับตั้งแต่ 20,000-400,000 และยังส่งผลต่อไปยังความผิดทางวินัยร้ายแรง ของต้นสังกัด สตช.ด้วย. – สำนักข่าวไทย