กรุงเทพฯ 6 ส.ค.-นายกฯ เผยเงินกู้เยียวยาโควิด-19 ใช้ไปแล้ว 5.5 แสนล้านบาท ใน 3 เดือน ระบุในวิกฤติ ต้องหันกลับมาเร่งส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากภายในประเทศให้แข็งแกร่ง ชดเชยการพึ่งพาจากภายนอก ขอภาคเอกชนร่วมฝ่าฟัน สร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนในโครงการของรัฐบาล
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “พลิกฟื้นประเทศไทย : ก้าวต่อไปอย่างมั่นคง” เนื่องในงานครบรอบ 74 ปี หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ตอนหนึ่ง ว่าสื่อมวลชนถือว่ามีบทบาทสำคัญ ถือเป็นหน้าตาของประเทศ ทั้งในและต่างประเทศ ปัจจุบันมีสื่อเพิ่มขึ้น นอกจากหนังสือพิมพ์แล้ว ยังมีสื่อออนไลน์อีกด้วย ดังนั้นการสร้างความเชื่อมั่น ความน่าเชื่อถือ เป็นสิ่งที่ดีในการนำเสนอความจริง สื่อมวลชนที่มีคุณภาพ ถือเป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อประเทศ เพราะการสื่อสารข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง และเป็นธรรม จะมีส่วนอย่างมากต่อการตัดสินใจในการดำรงชีวิตของประชาชน และการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชน
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ในช่วงปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ที่ไม่คาดคิด จากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่รุนแรง และขยายวงกว้างไปในหลายประเทศอย่างรวดเร็ว ทำให้ประเทศต่าง ๆ ต้องดำเนินมาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มงวด จำกัดการเดินทาง หรือ Lockdown ส่งผลให้เศรษฐกิจในหลายประเทศในช่วงไตรมาสแรก และไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 หดตัวต่อเนื่อง จนเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย และหลายประเทศขยายตัวต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
“ผมยอมรับว่า วิกฤตในครั้งนี้ไม่เหมือนกับวิกฤตที่ไทยเคยประสบมาในอดีต ดังนั้น การฟื้นฟูเศรษฐกิจ จึงหวังพึ่งพาปัจจัยภายนอกอย่างที่ผ่านมาไม่ได้ โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยว และการส่งออก รัฐบาลไทยจึงจำเป็นต้องหันกลับมาเร่งส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากภายในประเทศให้แข็งแกร่ง เพื่อชดเชยความต้องการสินค้าและบริการจากภายนอก ในช่วงที่ทั่วโลกยังประสบวิกฤตอยู่” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้แก้ปัญหาเร่งด่วน โดยได้ออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือและเยียวยาประชาชน เช่น มาตรการการลดภาระค่าใช้จ่ายครัวเรือนของประชาชน อาทิ การลดค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า การสนับสนุนเงินให้แก่ประชาชนกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบ อาทิ ลูกจ้างรายวัน มัคคุเทศก์ ผู้ประกอบการท่องเที่ยว มาตรการพักเงินต้น ลดดอกเบี้ย และขยายระยะเวลาชำระหนี้
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังได้ตรา พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 วงเงิน 1,000,000 ล้านบาท ดำเนินงานตาม 3 แผนงาน ได้แก่ 1. แผนงานหรือโครงการด้านการแพทย์และสาธารณสุข วงเงิน 45,000 ล้านบาท 2.แผนงานหรือโครงการเพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชยให้กับผู้ได้รับผลกระทบ วงเงิน 555,000 ล้านบาท และ 3.แผนงานหรือโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม วงเงิน 400,000 ล้านบาท
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การจัดสรรเงินภายใต้เงินกู้ของพระราชกำหนดฯ เบื้องต้น คาดว่าจะช่วยพยุงให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจดำเนินไปได้ระดับหนึ่ง ผ่านความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบแล้ว 4 กลุ่ม ซึ่งจะเอื้อให้การใช้จ่าย และมีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเริ่มกลับมาได้ เห็นว่าควรต้องใช้วิกฤตครั้งนี้ เป็นโอกาสในการพลิกฟื้นประเทศให้กลับมา ไม่เพียงแต่ดีเท่าเดิม แต่ต้องดีกว่าเดิม และฟันฝ่าไปด้วยกัน สร้างบรรยากาศและความเชื่อมั่นให้กับการค้าการลงทุนในโครงการที่รัฐบาลได้ริเริ่มขึ้น
“ขอให้ภาคเอกชนจัดโปรโมชั่นจูงใจ เพื่อลดการเลิกจ้างงาน และขอให้ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน โดยเฉพาะเรื่องการผ่อนชำระค่าบ้านและค่ารถ ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลไม่สามารถไปบังคับให้เอกชนดำเนินการได้ แต่ขอความร่วมมือให้มาช่วยประเทศชาติ ส่วนเรื่องเงินเยียวยา ขณะนี้ใช้งบประมาณไปแล้ว 5 แสน 5 หมื่นล้านบาท ภายใน 3 เดือน ขณะที่ เงินอีก 4 แสนล้าน ที่ใช้ฟื้นฟูเศรษฐกิจ จะต้องผ่านการคัดกรองอย่างรอบคอบ และใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง” นายกรัฐมนตรี กล่าว .-สำนักข่าวไทย