กรุงเทพฯ 2 ธ.ค.-สมาคมการประมงฯ ยืนยัน เรือประมงไทยไม่ได้รุกล้ำน่านน้ำเมียนมา ชี้มีระบบ VMS ติดตามพิกัดเรือแบบเรียลไทม์ หากเข้าใกล้แนวเขตแดน กรมประมงจะเรียกกลับทันที ชี้ไม่มีเรือประมงลำใดฝ่าฝืนกฎหมายที่มีโทษหนัก ปรับหลักล้าน หวั่นการสื่อสารของบางหน่วยงานที่คลาดเคลื่อน อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าประมง หากประเทศคู่ค้าเข้าใจว่า ไทยทำประมง IUU
นายสุรเดช นิลอุบล นายกสมาคมประมงสงขลาและรองประธานสมาคมการประมงแห่งประเทศไทยซึ่งดูแลงานระหว่างระหว่างประเทศกล่าวว่า ได้ประสานนายสมทรัพย์ จิตตะธัม นายกสมาคมประมงระนองเพื่อขอทราบข้อมูลเหตุการณ์ที่เรือประมงในพื้นที่จังหวัดระนองถูกเรือของทางการเมียนมายิงจนมีผู้เสียชีวิต ผู้ได้รับบาดเจ็บ และมีผู้ถูกควบคุมตัวไว้ โดยเจ้าของเรือยืนยันแก่สมาคมประมงระนองว่า ได้เดินเรือเข้าใกล้แนวเขตแดนไทย-เมียนมา แต่ยังอยู่ในน่านน้ำไทย ไม่ได้รุกล้ำน่านน้ำเมียนมาอย่างแน่นอน
ขณะนี้เชื่อว่า กรมประมงกำลังตรวจสอบพิกัดเรือ ณ จุดเกิดเหตุ โดยติดตามประวัติการเดินเรือจากระบบติดตามเรือ (Vessel Monitoring System : VMS) ซึ่งตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 ระบุให้ เรือประมงพาณิชย์ที่มีขนาด 30 ตันกรอสขึ้นไปต้องติดตั้งระบบ VMS ซึ่งเป็นระบบติดตามเรือที่ประมงทั่วโลกนำมาใช้ควบคุมและเฝ้าระวังการทำประมงผิดกฏหมาย (IUU Fishing) ด้วยการนำเทคโนโลยีของอินเทอร์เน็ต จุดพิกัดดาวเทียม (GPS) และเครือข่ายของโทรศัพท์มือถือ (Global Service Mobile : GSM) มาทำงานร่วมกันเพื่อให้ทราบถึงพิกัดเรือประมง (Vessel Positioning System : VPS) ได้แบบเรียลไทม์
ศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังการทำการประมง (Fisheries Monitoring Center – FMC) ซึ่งตั้งอยู่ที่กรมประมง FMC ติดตามตรวจสอบการเดินเรือของเรือประมงพาณิชย์ทุกลำอย่างเข้มงวดตลอด 24 ชั่วโมง ระบบ VMS จะต้องส่งสัญญาณกลับมายังศูนย์ PIPO ตลอด หากสัญญาณหายเกินกว่า 6 ชั่วโมง กรมประมงจะสั่งให้นำเรือกลับเข้าฝั่งทันที นอกจากนี้หากเดินเรือเข้าใกล้แนวเขตหวงห้ามเช่น เข้าใกล้ชายฝั่ง ออกนอกแนวเขตแดนระยะ 50 เมตร กรมประมงจะสั่งให้นำเรือกลับเข้าฝั่งทันทีเช่นกัน ถ้ายังฝ่าฝืน กรมประมงจะส่งเรือตรวจการณ์ไปลากเรือลำนั้นกลับ
ในหลักปฏิบัติ หากเรือประมงลำใดเข้าใกล้แนวเขตแดนในระยะ 500 เมตร ศูนย์ควบคุมการแจ้งเข้า-ออกเรือประมงหรือศูนย์ FMC จะส่ง SMS แจ้งเตือนเจ้าของเรือเพื่อแจ้งต่อผู้ควบคุมเรือว่า เข้าใกล้เส้นเขตแดน โปรดเดินเรือด้วยความระมัดระวัง ทั้งยังจัดเป็นกลุ่มเรือเฝ้าระวัง โดยติดตามและเฝ้าสังเกตพฤติกรรมอย่างเข้มงวดว่า จะถอยออกจากแนวเขตหรือยังฝืนทำประมงบริเวณนั้นต่อ การรุกล้ำเข้าไปในน่านน้ำของประเทศเพื่อนบ้านเพียง 50 เมตรถือว่า มีความผิดตามกฎหมายแล้ว โดยมีโทษปรับเป็นล้านบาทจึงไม่มีเจ้าของเรือรายใดยอมเสี่ยง อีกทั้งในการออกทำประมงครั้งต่อไป เรือที่ทำผิดจะถูกปรับจาก “เรือสีขาว” เป็น “เรือสีเทา” ดังนั้นนับตั้งแต่พระราชกำหนดการประมงมีผลบังคับใช้ในปี 2558 ผู้ประกอบการประมงพาณิชย์จึงปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
ทั้งนี้เรือประมงพาณิชย์จะตั้งพิกัดและเส้นทางเดินเรือไว้ล่วงหน้าว่า จะใช้เส้นทางใดและถึงจุดไหนที่จะต้องถอยกลับ เจ้าของเรือซึ่งถูกเรือของทางการเมียนมายิงได้ส่ง SMS จากกรมประมงมาให้ดูว่า ได้รับเฉพาะคำเตือนว่า อยู่ใกล้เส้นเขตแดน โปรดเดินเรือด้วยความระมัดระวัง โดยไม่ได้รับคำเตือนเพิ่มเติมว่า เดินเรือออกนอกน่านน้ำไทย จึงแสดงว่า เรือประมงไทยยังไม่ได้รุกล้ำน่านน้ำเมียนมา
นายสุรเดชกล่าวถึงการที่บางหน่วยงานสื่อสารออกไปว่า เรือประมงไทยรุกล้ำน่านน้ำเมียนมา กลายเป็นข่าวเผยแพร่ไปทั่วโลก อาจกระทบต่อภาคการประมงของไทยได้ โดยไทยส่งออกสินค้าสัตว์น้ำไปหลายประเทศ หากถูกเข้าใจผิดว่า มีการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU fishing) แล้วถูกคว่ำบาตรจากนานาชาติจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่ออุตสาหกรรมประมงไทย ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องแก้ไขความคลาดเคลื่อนของข่าวสารและสื่อความจริงออกไป
นอกจากนี้ไทยยังอยู่ระหว่างการกระบวนการแก้แก้กฎหมายการประมง โดยเตรียมจะออกพระราชบัญญัติการประมงเพื่อให้เป็นไปตามหลักสากล อาจถูกนานาชาติมองว่า พยายามแก้ไขกฎหมายเพื่อเอื้อต่อการทำประมงแบบ IUU
ล่าสุดสมาคมการประมงแห่งประเทศไทยเตรียมออกหนังสือถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งเจรจากับทางการเมียนมาเพื่อขอให้ส่งตัวคนไทยและเรือไทยกลับคืนมา รวมทั้งต้องทบทวนขั้นตอนปฏิบัติระหว่างประเทศที่มีพรมแดนติดกันว่า หากเข้าใจว่า มีการเดินเรือเข้าใกล้แนวเขตแดนและต้องการเตือน ต้องใช้มาตรการจากเบาไปหาหนักเช่น เริ่มจากการฉีดน้ำใส่ ไม่ใช่เริ่มต้นด้วยกระสุนจริงจนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ. -512 – สำนักข่าวไทย