กรุงเทพฯ 29 ก.ค. – สสว.เผยดัชนีเชื่อมั่นเอสเอ็มอี มิ.ย. 63 ดีขึ้นเป็นเดือนที่ 2 หลังโควิด-19 คลี่คลาย ผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ
นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นเอสเอ็มอีเดือนมิถุนายน 2563 เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2563 ที่ระดับ 40.9 มาอยู่ที่ระดับ 49.3 เป็นการปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 และเข้าใกล้ค่าฐานระดับ 50 มากและเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นต้นมา สะท้อนภาพรวมภาวะธุรกิจเอสเอ็มอีปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อน จากการผ่อนปรนมาตรการระยะที่ 3 และ 4 ทำให้สถานประกอบการเกือบทั้งหมดเริ่มเปิดกิจการได้ และเกิดความคล่องตัวในการเดินทางภายในประเทศ และสถานการณ์วิกฤติโควิด-19 ในประเทศคลี่คลายลงอย่างมาก ประชาชนดำเนินชีวิตและออกมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจขยายตัวทุกสาขาธุรกิจ และทุกภูมิภาค ทั้งนี้ สาเหตุของดัชนีความเชื่อมั่นฯ เพิ่มขึ้น เนื่องจากองค์ประกอบด้านปริมาณการผลิต การค้าและบริการ คำสั่งซื้อ กำไร การลงทุน และการจ้างงาน ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 51.1 50.0 49.7 49.5 และ 48.4 ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ด้านการจ้างงานและการลงทุนเพิ่มขึ้นน้อยเมื่อเทียบกับองค์ประกอบด้านอื่น ๆ สะท้อนให้เห็นถึงการพยายามควบคุมต้นทุนของกิจการหลังการเผชิญวิกฤตในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนั้นองค์ประกอบด้านต้นทุนก็ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 47.0 จากความกังวลในประเด็นต้นทุนสินค้าอย่างมาก
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นฯ แต่ละภาคธุรกิจนั้น ในภาคการผลิต ภาคการค้า และภาคบริการ มีค่าดัชนีความเชื่อมั่นฯ ในเดือนนี้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 49.9 48.7 และ 49.4 ตามลำดับ โดยเฉพาะสาขาที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางภายในประเทศมีการปรับตัวดีขึ้นอย่างมาก เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า อาทิ บริษัทจำหน่ายตั๋วสายการบิน และบริการขนส่งผู้โดยสาร ไม่ประจำทาง ที่มียอดจำหน่ายตั๋ว และการใช้บริการเดินทางเพิ่มขึ้น รวมถึงบริการขนส่งสินค้า เพราะการผ่อนปรนมาตรการระยะที่ 4 โดยเฉพาะการยกเลิกเคอร์ฟิวที่ช่วยลดอุปสรรคการเดินทางภายในประเทศลงเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม เกือบทุกสาขายังมีค่าดัชนีความเชื่อมั่นฯ ต่ำกว่าค่าฐาน 50 ทำให้ยังควรติดตามสถานการณ์เอสเอ็มอีอย่างใกล้ชิด
หากพิจารณารายภูมิภาค พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีปรับตัวเพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาค โดยดัชนีความเชื่อมั่นฯ เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 46.8 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 37.1 เนื่องจากมาตรการผ่อนปรนจากภาครัฐ ช่วยให้สถานประกอบการต่าง ๆ เปิดกิจการและมีความคล่องตัว มากขึ้น ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ของภาคเหนือ ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 49.7 เพิ่มขึ้นจาก 44.3 เพราะมีการขยายตัวของสาขาที่พักและโรงแรมขนาดเล็กและกลางที่เริ่มมีนักท่องเที่ยว และการจองห้องพักล่วงหน้ามากขึ้น รวมถึงการปรับตัวดีขึ้นของการผลิตและจำหน่ายสินค้ากลุ่มเสื้อผ้า และอาหารที่เป็นของฝากที่ระลึก
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นฯ ของภาคกลาง ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 51.9 เพิ่มขึ้นจาก 43.3 เพราะข้าวเปลือกมีราคาดี และจากมาตรการช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกร ทำให้กลุ่มเกษตรกรมีกำลังซื้อภายในภูมิภาคเพิ่มขึ้น ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ของภาคตะวันออก ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 50.4 เพิ่มขึ้นจาก 38.1 จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น ทำให้ภาคการผลิตโดยเฉพาะผลิตอาหารและเครื่องดื่มปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ของภาคใต้ ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 49.9 เพิ่มขึ้นจาก 47.9 เป็นผลมาจากการที่ภาครัฐอนุญาตให้ประชาชนใช้พื้นที่สาธารณะตามทะเลและชายหาดมากขึ้น อีกทั้งเริ่มมีการให้บริการเที่ยวบินในประเทศ ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวขยายตัวมากขึ้น แม้ว่านักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจะยังไม่สามารถเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวได้ ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นฯ ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 49.9 เพิ่มขึ้นจาก 38.9 เนื่องจากการยกเลิกเคอร์ฟิว ทำให้การเดินทางสะดวกขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจขนส่งสินค้า และสถานีน้ำมันปรับตัวดีขึ้นตาม
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 62.5 ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 60.6 เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่เห็นสถานการณ์ปัจจุบันปรับตัวดีขึ้น และการออกมาตรการ “เที่ยวปันสุข” ของภาครัฐจะใช้กระตุ้นภาคการท่องเที่ยวในอนาคต ทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีคาดการณ์แนวโน้มการจำหน่ายสินค้าและบริการยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง แต่ยังมีความกังวลเรื่องต้นทุนสินค้า และการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวที่เน้นนักท่องเที่ยวต่างประเทศโดยเฉพาะเอสเอ็มอีภาคใต้
ส่วนปัจจัยสำคัญที่มีผลกระทบต่อกิจการเอสเอ็มอีประเทศเดือนนี้ 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. ภาวะเศรษฐกิจในประเทศและอำนาจซื้อของประชาชน 2. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค 3. มาตรการในด้านต่าง ๆ ของรัฐบาล 4. การแข่งขันในตลาด และ 5. ราคาต้นทุนสินค้าและค่าแรงงาน.-สำนักข่าวไทย