รัฐสภา 13 ก.ค.-เลขานุการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ร้อง กมธ.แก้ปัญหาความยากจนฯ วุฒิสภา ประสานรัฐบาลออกมาตรการควบคุมอัตราค่าโดยสารรถสาธารณะให้เหมาะสม
นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา พร้อมด้วย นายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษกคณะกรรมาธิการฯ รับยื่นหนังสือจาก น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขานุการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ขอให้มีการควบคุมอัตราค่าโดยสาร ไม่เกิน 5% ของรายได้ขั้นต่ำ เนื่องจากค่าบริการรถขนส่งมวลชนมีราคาแพง เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการขนส่งมวลชน และลดความเหลื่อมล้ำได้
เลขานุการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า ปัจจุบันประชาชนต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางจากรถไฟฟ้าทุกระบบ สูงถึง 26-28% ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ สูงถึง 15-16% เมื่อเทียบอัตราค่าแรงขั้นต่ำต่อวันของคนกรุงเทพฯ ซึ่งสวนทางกับคุณภาพของบริการขนส่งสาธารณะ และความไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค ทำให้คนส่วนใหญ่ต้องเลือกใช้รถยนต์ส่วนตัวเป็นพาหนะเพื่อการเดินทาง มากถึง 43% ส่งผลให้เกิดปัญหาทางการจราจรติดขัดบนท้องถนน เกิดมลพิษทำลายสิ่งแวดล้อม
เลขานุการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวอีกว่า รัฐบาลควรสนับสนุนให้มีการพัฒนารูปแบบการให้บริการที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค เพิ่มความปลอดภัยในการใช้บริการขนส่งสาธารณะสู่การบริโภคที่ยั่งยืน รวมถึงรัฐบาลต้องสนับสนุนให้มีการใช้บริการขนส่งสาธารณะที่เพิ่มขึ้น โดยค่าใช้จ่ายของรถโดยสารปรับอากาศ ที่เป็นบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานของรัฐ ต้องจัดการให้ไม่เกิน 15 บาท ทุกสายตลอดวัน และค่าใช้จ่ายบริการขนส่งมวลชนทุกประเภท รวมแล้วต้องไม่เกิน 5% ของรายได้ขั้นต่ำในแต่ละวัน เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการโดยสารรถขนส่งมวลชนสาธารณะ ให้มีค่าโดยสารที่เป็นธรรม เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น
ขณะที่ นายคำนูณ กล่าวว่า กรรมาธิการฯ จะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุมกรรมาธิการฯ เพื่อศึกษารายละเอียดอย่างรอบคอบ พร้อมหาทางแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และเมื่อได้ข้อสรุปแล้ว จะประสานงานไปยังรัฐบาล โดยคณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้นำเสนอแนะไปพิจารณาออกมาตรการควบคุมให้ค่ารถโดยสารขนส่งมวลชนต้องไม่เกิน 5% ของค่าแรงงานขั้นต่ำในแต่ละวันต่อไป เพื่อให้ประชาชนหันมาใช้รถขนส่งมวลชนในชีวิตประจำวันมากขึ้น จะได้ช่วยลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 ได้อีกทางหนึ่ง พร้อมณรงค์ให้ประชาชนเลิกใช้รถยนต์ส่วนตัว โดยมีไว้เพื่อใช้ขับไปทำธุระจำเป็นเท่านั้น.-สำนักข่าวไทย