รัฐสภา 25 มิ.ย.-ที่ประชุมสภาฯ รับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศปี 2562 ส.ส.ฝ่ายค้านส่วนใหญ่ มองว่ารายงานไม่ตรงตามความเป็นจริง “เทพไท” แนะต้านโกง ด้วยการปลูกฝังค่านิยม ไม่ไหว้คนโกง ไม่ช่วยคดีพวกเดียวกัน บังคับใช้กฎหมายเคร่งครัด เท่าเทียม
การประชุมสภาผู้แทนราษฎรในช่วงบ่ายวันนี้(25 มิ.ย.) ที่ประชุมรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศปี 2562 โดยพล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า แผนแม่บทตามยุทธศาสตร์ไม่ครอบคลุมการเกษตร การพัฒนาศักยภาพบุคคล และการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน รวมถึงไม่สอดคล้องกับสถานการณ์โควิด-19 ทำให้นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ทักท้วงว่าการอภิปรายไม่ตรงกับรายงาน เนื่องจากปี 2562 ยังไม่มีสถานการณ์โควิด-19
ด้านนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย อภิปรายถึงผลสัมฤทธิ์ 6 ด้าน ประกอบด้วย ความอยู่ดีมีสุขของคนไทย ขีดความสามารถในการแข่งขันเศรษฐกิจและการกระจายรายได้ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ความเท่าเทียมและความเสมอภาค ความหลากหลายทางชีวภาพ คุณภาพสิ่งแวดล้อม และประสิทธิภาพการบริหารภาครัฐ ซึ่งคะแนนเพิ่มขึ้นทั้งหมด แต่สวนทางกับความรู้สึกของประชาชน จึงต้องมีดัชนีชี้วัดได้จริง
ขณะที่นายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ ส.ส.ฉะเชิงเทรา พรรคก้าวไกล อภิปรายถึงรายงานที่ระบุว่ารายได้เฉลี่ยต่อคนเพิ่มขึ้น ความเหลื่อมล้ำลดลง ทั้งที่ไม่สอดคล้องความเป็นจริง ไม่สามารถเอาตัวเลขความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ GDP มาวัดได้ และมองว่าการดำเนินการล้มเหลว โดยทำตามเป้าหมายสำเร็จ 4 เรื่องจากทั้งหมด 37 เรื่อง และแผนแม่บทย่อย 140 เรื่อง ทำสำเร็จเพียง 9 เรื่องเท่านั้น โดยรัฐบาลพยายามยัดเยียดว่าเป็นเพราะปัจจัยภายนอก
ส่วนส.ส.ฝ่ายรัฐบาล นายนิกร จำนง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทยพัฒนา อภิปรายว่า สถานการณ์ปัจจุบันทำให้เป้าหมายประเทศเปลี่ยนไป จึงถึงเวลาสมควรที่ต้องรื้อยุทธศาสตร์ชาติใหม่
นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เป็นครั้งแรกที่มีรายงานเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ชาติเข้าสู่การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมาจากแนวความคิดของวิทยาลัยป้องกันราชณาจักร (วปอ.) ที่นักศึกษาวปอ.ทุกรุ่น จะต้องทำยุทธศาสตร์นำเสนอทุกปี และเมื่อคสช.เข้ามายึดอำนาจบริหารประเทศ ได้นำแนวความคิดยุทธศาสตร์ชาติมาเป็นแผนงานบริหารประเทศด้วย จึงขออภิปรายแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ 21 เรื่องการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบที่มี 3เป้าหมายคือ 1.เป้าหมายประชาชนมีวัฒนธรรมและพฤติกรรมซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งต้องปลูกฝังค่านิยมให้ประชาชนมีทัศนคติไม่นับถือคนโกง ตามคำพูดของพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษที่ระบุว่าอย่าไหว้ อย่าเคารพคนโกง จะมีบารมีมากแค่ไหนก็มีไป เราต้องแสดงความขยะแขยง รังเกียจพวกโกงชาติบ้านเมือง
“2.เป้าหมายคดีทุจริตและประพฤติมิชอบลดลง อยากให้ไปดูสถิติดัชนีการทุจริตของของประเทศไทย ที่จัดโดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ จัดลำดับความโปร่งใสตั้งแต่ยุคนักการเมืองบริหารประเทศจนถึงยุคคสช. ซึ่งพบว่าแม้ไม่มีนักการเมืองบริหารประเทศ แต่สถิติการโกงกินก็เพิ่มขึ้นอยู่ในอันดับ 101 ทั้ง ๆ ที่ในยุคที่รัฐบาลมาจากการเลือกตั้งในปี 2552-54 ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ดัชนีความโปร่งใสอยู่ลำดับที่ 78 เท่านั้น แต่ปัจจุบันตั้งแต่ปี 2557-2562 มีลำดับเพิ่มขึ้นจากลำดับที่ 99 เป็น 101 แสดงให้เห็นว่าแนวโน้มปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นแย่ลง” นายเทพไท กล่าว
นายเทพไท กล่าวว่า 3.เป้าหมายการดำเนินคดีทุจริต มีความรวดเร็ว เป็นธรรม โปร่งใส ไม่เลือกปฏิบัติ ซึ่งขณะนี้เห็นได้ชัดว่าการดำเนินคดีทุจริตไม่เป็นไปตามเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ การดำเนินคดีไม่ทุจริต ไม่เที่ยงธรรม ถ้าเป็นพวกเดียวกันสามารถหลุดพ้นจากคดีได้ มีคดีหมดอายุความหรือศาลฎีกามีคำพิพากษาตัดสินลงโทษแล้ว หนีคดีไม่ต้องติดคุก ใครเป็นพวกเดียวกันรอดพ้นจากคดีหมด การแจ้งบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ การวินิจฉัยทรัพย์สินยืมใช้คงรูป ไม่ต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) และการปฏิบัติหน้าที่ขององค์กรอิสระไม่โปร่งใส ไม่ตรงไปตรงมา ขัดต่อเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ จึงอยากจะให้เป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติด้านการต่อต้านทุจริตและประพฤติมิชอบเป็นจริง ต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดและเท่าเทียมกัน.-สำนักข่าวไทย