กรุงเทพฯ 8 มี.ค. – บอร์ด ธ.ก.ส.เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ประกอบการภาคเกษตร ขยายเวลาชำระหนี้ ลดดอกเบี้ย ปลอดชำระต้นเงิน 3 ปีแรก พร้อมเติมสินเชื่อใหม่ดอกเบี้ยผ่อนปรน
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยเผชิญหน้ากับหลากหลายสถานการณ์ที่ส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจ ธ.ก.ส.จึงได้ออกมาตรการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ประกอบการภาคเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ทั้งทางตรงและทางอ้อม อาทิ สงครามการค้า ภัยแล้ง น้ำท่วม ราคาผลผลิตตกต่ำ และการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ประกอบด้วยการขยายระยะเวลาชำระหนี้ ลดอัตราดอกเบี้ย ปลอดชำระต้นเงิน 3 ปีแรก พร้อมเติมสินเชื่อใหม่โดยคิดอัตราดอกเบี้ยที่ผ่อนปรน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูการประกอบอาชีพและการดำเนินธุรกิจ ระยะเวลาดำเนินมาตรการ 2 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 – 31 ธันวาคม 2564 ตามนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
สำหรับขอบเขตลูกหนี้ที่ให้ความช่วยเหลือตามมาตรการนี้ ซึ่งยังคงมีศักยภาพการดำเนินธุรกิจหรือสามารถชำระหนี้ได้ในอนาคต คือ 1.ลูกหนี้ปกติ ตั้งแต่ 1 มกราคม 2563 สามารถปรับปรุงโครงสร้างหนี้ลักษณะเชิงป้องกัน (Pre-emptive) วงเงินที่ไม่เกินหนี้เดิม ตั้งแต่เริ่มมีสัญญาณของการมีปัญหาชำระหนี้ โดยลูกหนี้ยังไม่เป็นหนี้ที่ด้อยคุณภาพ คือ ในส่วนของต้นเงินกู้และดอกเบี้ยเดิมก่อนปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ให้ขยายระยะเวลาชำระหนี้ กรณีเกษตรกรและบุคคลชำระภายในไม่เกิน 15 ปี สามารถปลอดชำระต้นเงินได้ไม่เกิน 3ปีแรก กรณีผู้ประกอบการและสถาบัน ขยายระยะเวลาชำระหนี้ภายในไม่เกิน 20 ปี และปลอดชำระต้นเงิน ได้ไม่เกิน 3 ปีแรก และ/หรือลดดอกเบี้ยเดิมให้แก่ลูกหนี้แต่ละราย เมื่อลดแล้วเหลือดอกเบี้ยไม่ต่ำกว่า MRR หรือ MLR ตามประเภทของลูกหนี้ ในส่วนของดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นใหม่จากต้นเงินที่ปรับปรุงโครงสร้างหนี้เดิม ให้คิดจากลูกหนี้แต่ละประเภท โดยเกษตรกรและบุคคล คิดในอัตราไม่ต่ำกว่า MRR และผู้ประกอบการและสถาบัน คิดในอัตราไม่ต่ำกว่า MLR
2.ลูกหนี้ NPL ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 ให้การช่วยเหลือปรับปรุงโครงสร้างหนี้สินเดิมวงเงินไม่เกินหนี้เดิม กรณีเกษตรกรและบุคคล ต้นเงินกู้เดิมก่อนปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้สามารถขยายระยะเวลาชำระหนี้ตามความสามารถในการชำระของลูกหนี้แต่ละราย โดยกำหนดชำระให้แล้วเสร็จภายในไม่เกิน 15 ปี สามารถปลอดชำระต้นเงินได้ไม่เกิน 3 ปีแรก ส่วนดอกเบี้ยของต้นเงินกู้เดิมก่อนปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ให้ชำระตามความสามารถในการชำระของลูกหนี้แต่ละรายให้แล้วเสร็จภายในไม่เกิน 15 ปี และ/หรือลดดอกเบี้ยเดิมให้แก่ลูกหนี้แต่ละราย ซึ่งเมื่อลดแล้วเหลือดอกเบี้ยไม่ต่ำกว่า MRR
สำหรับดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นใหม่จากต้นเงินที่ปรับปรุงโครงสร้างหนี้เดิมให้คิดจากลูกหนี้แต่ละรายในอัตราไม่ ต่ำกว่า MRR – 1 กรณีผู้ประกอบการและสถาบัน ต้นเงินกู้เดิมก่อนปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ให้ขยายระยะเวลาชำระหนี้ตามความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้แต่ละรายให้แล้วเสร็จภายในไม่เกิน 20 ปี สามารถปลอดชำระต้นเงินได้ไม่เกิน 3 ปีแรก ส่วนดอกเบี้ยของต้นเงินกู้เดิมก่อนปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ให้ชำระตามความสามารถในการชำระของลูกหนี้แต่ละรายให้แล้วเสร็จภายในไม่เกิน 20 ปี และ/หรือลดดอกเบี้ยเดิมให้แก่ลูกหนี้แต่ละราย ซึ่งเมื่อลดแล้วเหลือดอกเบี้ยไม่ต่ำกว่า MLR สำหรับดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นใหม่จากต้นเงินที่ปรับปรุงโครงสร้างหนี้เดิม ให้คิดในอัตราไม่ต่ำกว่า MLR – 0.50
นอกจากนี้ ยังเตรียมสินเชื่อใหม่ เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนหรือเป็นค่าใช้จ่ายในการประกอบอาชีพแก่ลูกหนี้เพิ่มเติมจากการช่วยเหลือลูกหนี้ ซึ่งกรณีลูกหนี้ต้องการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อเสริมสภาพคล่องในการประกอบอาชีพหรือดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องในระหว่างการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ กรณีเกษตรกรและบุคคล คิดดอกเบี้ยตามศักยภาพ กำหนดวงเงินกู้ 100,000 บาทแรก อัตราดอกเบี้ยตามชั้นลูกค้าหรือตามการประเมินปัจจัยเสี่ยง – 0.25 เป็นระยะเวลา 1 ปี และ ส่วนที่เกิน 100,000 บาท คิดดอกเบี้ยตามชั้นลูกค้า กรณีผู้ประกอบการและสถาบัน คิดดอกเบี้ยในอัตราไม่ต่ำกว่า MLR – 1
สำหรับมาตราการช่วยเหลือลูกหนี้ดังกล่าวสามารถให้ความช่วยเหลือครอบคลุมลูกหนี้ทุกกลุ่ม ทั้งในส่วนของลูกหนี้ปกติที่มีสัญญาณของการมีปัญหาชำระหนี้และลูกหนี้ที่มีหนี้สินเป็นภาระหนัก หวังเป็นอย่างยิ่งว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยให้ลูกค้า ธ.ก.ส.ผ่อนคลายความกังวลในภาระหนี้สินเดิมและเงินทุนหมุนเวียนใหม่ในการประกอบอาชีพหรือดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง โดยสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขา หรือที่ Call Center 02 555 0555 ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป.-สำนักข่าวไทย