กรุงเทพฯ 8 ม.ค. – สสว.คาดจีดีพีเอสเอ็มอีปี 63 โตร้อยละ 3-3.5 ปัจจัยบวกมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
นางสาววิมลกานต์ โกสุมาศ รักษาการผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยถึงภาพรวมเอสเอ็มอีปี 2562 ว่า จากจำนวนตัวเลขผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรวม 3,084,290 ราย เกิดการจ้างงาน 13,950,241 คน คิดเป็นร้อยละ 85.5 ของการจ้างงานรวมทั้งประเทศ
ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์มูลค่าการค้าระหว่างประเทศของเอสเอ็มอีปี 2562 โดยข้อมูลรอบ 10 เดือน (ม.ค.-ต.ค.) เมื่อเปรียบเทียบช่วงเดียวกันของปี 2561 พบว่าการส่งออกของเอสเอ็มอีมีมูลค่า 1.99 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาคิดเป็นร้อยละ 2.1 สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ พลาสติกและของที่ทำด้วยพลาสติก และเครื่องจักร คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ โดยประเทศคู่ค้าหลักของเอสเอ็มอีไทย ได้แก่ อาเซียน จีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และอียู โดยจีดีพีเอสเอ็มอีปี 2562 มีมูลค่าประมาณ 7.41 ล้านล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา คิดเป็นร้อยละ 3.5-4.0
ด้านการจัดตั้งและยกเลิกกิจการปี 2562 ในรอบ 10 เดือน เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2561 พบว่าเอสเอ็มอีจดทะเบียนจัดตั้งกิจการใหม่ 63,359 ราย ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 1.43 กิจการที่จัดตั้งใหม่สูงสุด ได้แก่ ก่อสร้างอาคารทั่วไป บริการด้านวิทยุและโทรทัศน์ และอสังหาริมทรัพย์ ส่วนการยกเลิกกิจการ มีจำนวน 14,273 ราย ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 3.56 กิจการที่ยกเลิกสูงสุด ได้แก่ ก่อสร้างอาคารทั่วไป บริการนันทนาการ และอสังหาริมทรัพย์
ทั้งนี้ แนวโน้มปี 2563 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวร้อยละ 2.7-3.2 ขณะที่การขยายตัวของจีดีพีเอสเอ็มอีจะอยู่ที่ร้อยละ 3.0-3.5 ปัจจัยสำคัญมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โครงการลงทุนสาธารณูปโภคขนาดใหญ่จากภาครัฐ ภาคการท่องเที่ยวที่ยังคงเติบโต และขยายตัวอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะการเข้ามาของนักท่องเที่ยวกลุ่มประเทศอื่น ๆ ที่ทดแทนนักท่องเที่ยวจากจีน เช่น อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลี และการเติบโตของกลุ่มธุรกิจ e-Commerce เป็นต้น
“จากการประเมินสถานการณ์ของ สสว. พบว่า แม้ว่าปี 2563 ยังมีปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวัง คือ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก สงครามการค้า หากยังมีความยืดเยื้อ การแข็งค่าของเงินบาท สัดส่วนหนี้สินภาคครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง การขอสินเชื่อของเอสเอ็มอีจากสถาบันการเงินยังคงทำได้ยาก รวมถึงกระแสของเศรษฐกิจดิจิทัลที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงหรือแย่งส่วนแบ่งของธุรกิจในรูปแบบดั้งเดิม ฯลฯ แต่มีสัญญาณที่เป็นแนวโน้มดี ไม่ว่าจะเป็นการปรับตัวของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เพื่อเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล รวมถึงการที่ภาครัฐส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีปรับตัวก้าวทันการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ผ่านแนวทางสำคัญที่จะเป็นการสร้างโอกาสให้เอสเอ็มอี ไทยเติบโตและอยู่รอดได้” นางสาววิมลกานต์ กล่าว
รักษาการ ผอ.สสว. กล่าวว่า สัญญาณการปรับตัวของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ไทยสู่เศรษฐกิจดิจิทัล เห็นได้จากการขยายตัวของธุรกิจ e-Commerce ซึ่งมีมูลค่ากว่า 3 ล้านล้านบาทในปัจจุบัน ธุรกิจ Food delivery ซึ่งปี 2562 มีการประมาณการมูลค่าของธุรกิจดังกล่าวรวมไม่น้อยกว่า 33,000-35,000 ล้านบาท และคาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ต่อปี เช่นเดียวกับธุรกิจปล่อยห้องพัก ผ่าน Platform Airbnb ซึ่งจากข้อมูล พบว่า ผู้ประกอบการไทยมีรายได้จากการปล่อยห้องพักผ่าน Airbnb ปี 2562 รวมมูลค่าถึง 33,000 ล้านบาท จำนวนนี้เกือบครึ่งเป็นการปล่อยเช่าในเมืองรอบนอกกรุงเทพ สะท้อนให้เห็นว่าเอสเอ็มอีไทยสามารถปรับตัวเข้าสู่กระแสเศรษฐกิจดิจิทัลได้ค่อนข้างดีและจะมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น หากได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐ เพราะเป็นหนทางให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงตลาดเข้าถึงลูกค้ามากขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศในระยะเวลาที่รวดเร็ว นอกจากเป็นการเพิ่มโอกาสในการขายแล้ว ยังสามารถลดต้นทุนด้านการตลาดได้อีกด้วย
นางสาววิมลกานต์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อเป็นการส่งเสริมสนับสนุนให้เอสเอ็มอีโดยเฉพาะไมโครเอสเอ็มอี สามารถดำเนินธุรกิจให้อยู่รอดและเติบโตได้ แนวทางการส่งเสริมปี 2563 รัฐบาลจึงมุ่งสนับสนุนงบประมาณการส่งเสริมเอสเอ็มอีวงเงินรวมกว่า 2,686 ล้านบาท สสว.เป็นหน่วยงานเจ้าภาพหลัก ดำเนินงานผ่านแผนงานบูรณาการพัฒนาผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสู่สากล มีหน่วยงานพันธมิตรเข้าร่วมขับเคลื่อนการส่งเสริมเอสเอ็มอีรวม 23 หน่วยงาน จาก 9 กระทรวง 1 รัฐวิสาหกิจ ดำเนินโครงการร่วมกันไม่น้อยกว่า 17 โครงการ มีงบประมาณรวม 1,738 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีโครงการที่การดำเนินงานโดย สสว.โดยตรงวงเงิน 948 ล้านบาท ภายใต้แผนส่งเสริมเอสเอ็มอีปี 2563 จะมุ่งเน้น 5 ด้านหลัก 1. สร้างผู้ประกอบการใหม่ให้ดำเนินธุรกิจแบบ Smart MSME 2. ขับเคลื่อน MSME สู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัล 3. พัฒนา Micro SME ให้ได้รับมาตรฐานสินค้า เข้าสู่ตลาดและการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐได้ 4. สร้างการตระหนักรู้ เรื่องการใช้ Data ให้เป็นประโยชน์ในการต่อยอดธุรกิจ (Data-Driven Entrepreneur) 5. ส่งเสริม MSME ที่ผลิตสินค้าให้ต่อยอดธุรกิจการค้าบริการ เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าและยกระดับรายได้ (Servitization) สสว.พบว่าผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย 3 ล้านรายทั่วประเทศ เมื่อนำเกณฑ์รายได้มาใช้พบว่า 2.6 ล้านรายเป็นธุรกิจไมโคร มีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี หรือไม่เกิน 150,000 บาทต่อเดือน และจ้างงานไม่เกิน 5 คน ดังนั้น โครงการต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีปี 2563 จึงให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการรายย่อย หรือไมโครเป็นลำดับแรก
โดยมี ศูนย์ OSS ของ สสว.ที่กระจายอยู่ในทุกภูมิภาคของประเทศ เป็นกลไกสำคัญในการให้คำปรึกษาแนะนำและส่งต่อผู้ประกอบการให้ได้รับการส่งเสริม สนับสนุน จากหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่ นอกจากนี้ สสว. ยังได้สานต่อการพัฒนาฐานข้อมูลในรูปแบบเว็บไซต์กลาง (Web Portal) ภายใต้ชื่อ “SMEONE” หรือ www.smeone.info ซึ่งรวบรวมข่าวสาร ข้อมูล องค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ รวมทั้งเชื่อมต่อบริการ กิจกรรมและโครงการต่าง ๆ ในการส่งเสริม สนับสนุน SME ของภาครัฐ ภาคเอกชนและสถาบันการเงินทีเกี่ยวข้อง และ Application SME Connext เป็นต้น
ขณะเดียวกันเพื่อสนองตอบนโยบายรัฐบาล ในการส่งเสริม ช่วยหลือให้ SME สามารถเข้าถึงมาตรฐานสินค้าและบริการได้สะดวกรวดเร็ว ซึ่งเป็นหนทางจะช่วยให้สินค้าของผู้ประกอบการ เข้าสู่ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศได้มากยิ่งขึ้น สสว. มีแนวทางจะประสานความร่วมมือกับ บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ สสว. และกระทรวงการคลัง ในการขยายบทบาทการให้บริการตรวจรับรองมาตรฐานสินค้าเพิ่มเติมจากสินค้าเกษตรและอาหาร ไปสู่สินค้าอื่น ๆ ในภาคอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสการเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น อียู เป็นต้น ภายใต้การดำเนินงานส่งเสริม SME ในปี 2563 ของ สสว. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คาดว่าจะสามารถช่วยเหลือ สนับสนุนให้ผู้ประกอบการยกระดับความสามารถในการทำธุรกิจได้ไม่น้อยกว่า 380,000 ราย ทั่วประเทศ.-สำนักข่าวไทย