รัฐสภา 28 ธ.ค.-สื่อสภาฯ
ตั้งฉายาสภาผู้แทนฯ “ดงงูเห่า” –“
ชวน” ฉายา “ใบมีดโกนขึ้นสนิม” – “ปิยบุตร” คว้าดาวเด่นสภา “ปารีณา” ดาวดับ – สภาทหารเกณฑ์ ฉายา ส.ว. – “พรเพชร“ค้อนยาง” – ยกวันสภาล่มซ้ำซ้อน
เป็นเหตุการณ์แห่งปี “
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สื่อมวลชนประจำรัฐสภา
ตั้งฉายาประจำรัฐสภา เพื่อสะท้อนการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติ ประจำปี 2562
โดยตั้งฉายาสภาผู้แทนราษฎรในปีนี้ว่า
“ดงงูเห่า”
เพราะการหายไปของสภาผู้แทนราษฎรกว่า
5 ปี ทำให้สภาฯ เป็นที่คาดหวัง จะเป็นที่พึ่งให้กับประชาชน
แต่จะด้วยผลกระทบจากรัฐธรรมนูญ ทำให้รัฐบาลขาดเสถียรภาพ หรือเป็นนิสัยส่วนบุคคล
ที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ “งูเห่า” ทั้งการประกาศตัวเป็น
“ฝ่ายค้านอิสระ” แต่เมื่อเวลาผ่านไป ฝ่ายค้านอิสระ กลับลงคะแนนสวนทางมติของพรรคร่วมฝ่ายค้านหลายครั้ง
เช่น การสวนมติ พ.ร.ก.โอนย้ายอัตรากำลังพล
และการแสดงตนร่วมเป็นองค์ประชุมให้รัฐบาลในการนับคะแนนญัตติการตั้งกรรมาธิการศึกษาผลกระทบจากคำสั่ง
คสช.ใหม่ เป็นต้น
ฉายาประธานสภาผู้แทนราษฎรปีนี้
สื่อมวลชน ตั้งฉายาให้กับนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรว่า
“มีดโกนขึ้นสนิม” แม้จะมีความตั้งใจจะให้ประชาชนกลับมาศรัทธาสภาฯ
แต่มีดโกนอาบน้ำผึ้ง ที่เคยบาดลึกดูกำลังขึ้นสนิม
หลังไม่สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในสภาได้
ทั้งการวินิจฉัยเรื่องการนับคะแนนใหม่ในญัตติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษามาตรา
44 จนนำมาสู่เหตุการณ์สภาล่ม ไปจนถึงการพยายามลอยตัวกับปัญหา
โดยเฉพาะความขัดแย้งในคณะกรรมาธิการสามัญฯ ทั้งที่เป็นผู้นำสูงสุดของสภา
แต่ถึงจะมีสนิม ที่อาจฟันอะไรไม่ขาดทีเดียว แต่หากใครได้โดนแล้ว ยังต้องรู้สึกเจ็บ
และต้องรีบฉีดยากันบาดทะยัก เพราะวาจาของนายหัวเมืองตรัง ยังเจ็บจี๊ดไม่เปลี่ยนแปลง
ฉายานายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์
ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร
ได้รับฉายาว่า “ขนมจีนไร้น้ำยา” โดย นายสมพงษ์
ก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านฯ
ในภาวะที่ฝ่ายค้านไม่ได้เป็นลูกไล่รัฐบาลเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะมีเสียงในสภาที่สูสีกัน
และฝ่ายค้าน
เคยชนะโหวตรัฐบาลมาแล้วในการพิจารณาญัตติตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาผลกระทบจากประกาศ
และคำสั่งของ คสช.ตามมาตรา 44 แต่ผู้นำฝ่ายค้านฯ ยังไม่อาจแสดงบทบาท
และศักยภาพในการตรวจสอบรัฐบาลให้เป็นที่ประจักษ์ เมื่อเทียบกับผู้นำฝ่ายค้านฯ
ในอดีต อีกทั้งยังไม่ปรากฎบทบาทการเป็นผู้นำเพื่อให้การทำงานของสภาฯ
เกิดความสมานฉันท์ และเป็นที่จดจำ จึงไม่ต่างอะไรกับขนมจีน ที่ดูน่ารับประทาน
แต่เมื่อไร้น้ำยารสเลิศ ก็ทำให้ขนมจีนจานนั้น ไม่ได้อยู่ในสายตา
สำหรับดาวเด่นปีนี้ ได้แก่
นายปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ เหตุผลหลักที่ทำให้นายปิยบุตร
ได้รับตำแหน่งดังกล่าว คือ
การเปิดประเด็นเรื่องการถวายสัตย์ปฏิญาณตนของนายกรัฐมนตรี
ที่ไม่ครบถ้อยคำตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด จนนำมาสู่การเปิดประชุม
เพื่ออภิปรายทั่วไปของสภาผู้แทนราษฎร และตลอดการทำหน้าที่อภิปรายในสภา
ก็ไม่ได้ใช้แต่เพียงวาทะศิลป์เท่านั้น เพราะล้วนมีเหตุผลทางวิชาการ
และกฎหมายรองรับ
ส่วนดาวดับแห่งปี หนีไม่พ้น “นางสาวปารีณา ไกรคุปต์” ส.ส.ราชบุรี
พรรคพลังประชารัฐ ที่ได้สร้างกระแสในแง่ลบผ่านทางสื่อออนไลน์เป็นระยะ
แม้จะแสดงบทบาทตรวจสอบการถือครองที่ดินของมารดานายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่
แต่กลับเป็นคนที่ไม่ยอมรับการตรวจสอบการถือครองที่ดินในจังหวัดราชบุรีของตนเอง
ทั้งที่มีตำแหน่งกรรมาธิการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ
ซึ่งทุกครั้งที่ถูกผู้สื่อข่าวสอบถามถึงประเด็นดังกล่าว กลับพยายามบ่ายเบี่ยง
ถึงขนาดที่กล่าวอ้างว่า ได้ทำ MOU กับนักข่าว
เพื่อยุติการสัมภาษณ์โดยไม่มีหลักฐาน สื่อมวลชนจึงหวังว่า นางสาวปารีณา
จะมีการปรับปรุง และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในอนาคตหลังได้รับตำแหน่งนี้
สำหรับคู่กัดแห่งปี 2562
ได้แก่ “ปารีณา และ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์” แม้ว่าจะต่างวัยกันแต่ก็เป็นมวยถูกคู่ นางสาวปารีณา ถูกพรรคพลังประชารัฐ
ส่งมาเป็นกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ
เพื่อปกป้องพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ภายหลังพลตำรวจเอกเสรีพิศุทธิ์ พยายามเรียกนายกรัฐมนตรี มาชี้แจงปมการถวายสัตย์ฯ
ต่อคณะกรรมาธิการฯ
แต่ปารีณาพยายามขัดขวางทุกวิถีทาง
ถึงขั้นมีการล็อบบี้สมาชิกในพรรคพลังประชารัฐ
ยื่นเรื่องให้ตรวจสอบกันเองภายในคณะกรรมาธิการ จนงานอื่น ๆ
ของคณะกรรมาธิการไม่เดินหน้า ดังนั้น การปะทะของนางสาวปารีณา และพลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์
จึงมีแต่เพียงวิวาทะที่หาแก่นสารไม่ได้
สำหรับเหตุการณ์แห่งปี 2562
นี้ คือเหตุการณ์ “สภาล่ม” เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถึง
2 ครั้ง 2
วันติดต่อกันระหว่างการพิจารณาญัตติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบจากประกาศและคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ตามมาตรา 44 ปฐมเหตุเริ่มมาจากการที่ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลแพ้โหวตให้กับฝ่ายค้าน
แต่ปรากฎว่า ส.ส.รัฐบาลใช้สิทธิขอนับคะแนนใหม่ จนนำมาสู่การลงคะแนนใหม่
โดยก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนดังกล่าวจะต้องมีการนับองค์ประชุมก่อน
ทว่าในคืนประชุมแรกเหลือ ส.ส.ร่วมเป็นองค์ประชุมเพียง 92 คนเท่านั้น
และหลังมีการนัดประชุมครั้งใหม่ แต่ก็ยังมีส.ส.เพียง 240 คนไม่ครบองค์ประชุม
นับเป็นปรากฎการณ์ที่สร้างภาพลักษณ์ที่เสื่อมเสียให้กับสภาฯ
สะท้อนสภาวะการณ์ปัญหาเสียงปริ่มน้ำระหว่างฝ่ายค้่น และฝ่ายรัฐบาลอย่างชัดเจน
สำหรับวาทะแห่งปี 2562 คือ
“ตัดพี่ตัดน้อง” เกิดขึ้นในวันแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐบาล
ระหว่างที่พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ
ในฐานะหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทยอภิปรายโจมตีรัฐบาลดุเดือด กล่าวหาว่า
โกงเลือกตั้งจนได้กลับสู่ตำแหน่งโดยไม่สุจริต จนเกิดวาทะดังกล่าว ที่พลเอกประยุทธ์
พูดกลางที่ประชุมรัฐสภา เพื่อตอบโต้พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธิ์ ว่า “เรารู้จักกันมานาน ท่านเป็นรุ่นพี่ผม แต่งงานวันเดียวกัน
แต่วันนี้ไม่ถือว่าเป็นรุ่นพี่อีกแล้ว เพราะท่านไม่เกียรติผม
เคยพูดว่าจะชักปืนยิงผม ถ้ายิงจริง ท่านก็ติดคุกไปแล้ว ท่านพูดจาหยาบคาย
เหรียญรามาผมก็ได้ แต่ไม่เคยอวดอ้างอำนาจ และให้ไปทบทวนตัวเอง” จากการตัดพี่ตัดน้องในวันนั้น
ขณะที่ วุฒิสภา หรือ 250 ส.ว.
ได้รับฉายา “สภาทหารเกณฑ์” ตามกลไกที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
กำหนดให้มีวุฒิสภาแบบพิเศษใน 5 ปีแรกด้วยการคัดเลือกโดย คสช. และ
ส.ว.ชุดปัจจุบันจำนวนไม่น้อยมาจากบุคคลที่เคยเป็นสมาชิกสนช.ที่คสช.เคยแต่งตั้งอีกด้วย
ทำให้ ส.ว.เปรียบเสมือนเป็นทหารที่ถูก คสช.เกณฑ์เข้ามา
ที่ไม่เพียงมีหน้าที่ในระยะเปลี่ยนผ่าน 5 ปีแรกเท่านั้น แต่ยังมีภารกิจ
ในการเทคะแนนเลือกพลเอกประยุทธ์ ให้หวนกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง
และในอนาคตกำลังจะมีหน้าที่ปกป้องรัฐธรรมนูญ ที่ฝ่ายค้าน
และพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคกำลังจองกฐินเตรียมแก้ไขไว้ด้วย
สำหรับฉายานายพรเพชร
วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ปีนี้ได้ฉายา “ค้อนยาง” จากเหตุที่ก่อนหน้านี้
เคยดำรงตำแหน่งประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ
สนช.ซึ่งเป็นประมุขของฝ่ายนิติบัญญัติสมัย คสช. มาก่อน
แต่เมื่อมาทำหน้าที่เป็นประธานวุฒิสภา บทบาทและอำนาจหน้าที่ที่เคยมีนั้นหายไป
ทำให้สมาชิกรัฐสภา โดยเฉพาะ ส.ส.ฝ่ายค้านไม่ยำเกรงในบารมีของประธานวุฒิสภา
เห็นได้จากการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่ออภิปรายการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา
ของคณะรัฐมนตรีเมื่อกรกฎาคมที่ผ่านมา
เพราะทุกครั้งที่นายพรเพชรขึ้นทำหน้าที่ประธานการประชุม ในฐานะรองประธานรัฐสภา
จะถูกส.ส.ลองของ จนควบคุมการประชุมไม่ได้ โดยเฉพาะการปะทะคารมกันระหว่าง “พลเอกประยุทธ์” และ “พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธิ์” จนนำมาซึ่งความวุ่นวายกลางที่ประชุม
แม้ประธานวุฒิสภา จะประเดิมการใช้ค้อนทุบบนบัลลังค์ เพื่อให้เกิดความสงบ
แต่กลับสะท้อนผลตรงข้าม จึงสะท้อนให้เห็นว่า ค้อนที่นายพรเพชรถือไว้นั้นเป็นแค่ “ค้อนยาง” เท่านั้น
สำหรับตำแหน่ง คนดีศรีสภาฯ ปี 2562
นี้ สื่อมวลชนประจำรัฐสภา พิจารณา และลงมติร่วมกันแล้วว่า ยังไม่มีใครเหมาะสมที่จะได้ตำแหน่งดังกล่าว
โดยการตั้งฉายาสภาประจำปี ของสื่อมวลชนประจำรัฐสภา ได้ว่างเว้นวรรคไป 5 ปี
ซึ่งในปี 2562 ที่มีการเลือกตั้ง สื่อมวลชนประจำรัฐสภา ได้มีความเห็นร่วมกัน
ที่จะตั้งฉายาสภา เพื่อสะท้อนการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติในรอบปีที่ผ่านมา
โดยปราศจากอคติ และไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียทางการเมืองแต่อย่างใด. สำนักข่าวไทย