มุมไบ 29 พ.ย.- ฤดูมรสุมปีนี้ที่มีฝนตกหนักที่สุดในรอบ 25 ปี อาจทำให้อินเดียมีผลผลิตข้าวสาลีมากเป็นประวัติการณ์เป็นปีที่สองติดต่อกัน เพราะเกษตรกรสามารถขยายพื้นที่การปลูกในช่วงฤดูหนาวทำให้มีผลผลิตเพิ่มขึ้น แต่อาจมีปัญหาในการระบายผลผลิตที่เพิ่มขึ้นหากรัฐบาลยังอุดหนุนราคาอยู่
ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์อินเดียเผยว่า พื้นที่เพาะปลูกข้าวสาลีจะมีผลผลิตเพิ่มขึ้นเพราะฝนตกชุก และจะลบสถิติผลผลิตปีก่อน เดือนมิถุนายน-กันยายนปีนี้อินเดียมีฝนตกมากกว่าอัตราเฉลี่ยร้อยละ 10 และยังคงตกต่อเนื่องจนถึงเดือนพฤศจิกายน เอื้อต่อการหว่านเพาะเพิ่มเติม ปกติแล้วอินเดียจะปลูกข้าวสาลีได้เพียงปีละครั้งเท่านั้นคือปลายเดือนตุลาคม เพื่อเก็บเกี่ยวในเดือนมีนาคม ฝนที่ตกชุกยังช่วยให้อ่างเก็บน้ำหลัก ๆ ในอินเดียมีน้ำถึงร้อยละ 86 ของความจุอ่าง สูงกว่าปีก่อนที่มีเพียงร้อยละ 61 และสูงกว่าอัตราเฉลี่ยที่ร้อยละ 64
ผู้ค้าในนครมุมไบเผยว่า เกษตรกรหันมาปลูกข้าวสาลีมากขึ้นเพราะราคามีเสถียรภาพมากกว่าสินค้าเกษตรอื่น ๆ เพราะถึงแม้รัฐบาลกำหนดราคารับซื้อขั้นต่ำสำหรับสินค้าเกษตรประมาณ 20 ชนิด แต่มีเพียงข้าวสาลีและข้าวเท่านั้นที่ได้ราคาตามนั้น นอกจากนี้รัฐบาลยังได้เพิ่มราคารับซื้อข้าวสาลีปีหน้าอีกร้อยละ 4.6 เป็นตันละ 19,250 รูปี (ราว 8,097 บาท) แต่มาตรการดังกล่าวจะทำข้าวสาลีส่งออกของอินเดียมีราคาไม่ต่ำกว่าตันละ 300 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 9,069 บาท) แพงกว่าประเทศคู่แข่งที่ราคาไม่ถึงตันละ 250 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 7,557 บาท) อินเดียอาจผลิตข้าวสาลีได้มากกว่า 100 ล้านตัน แต่จะส่งออกได้ไม่ถึง 1 ล้านตันหากรัฐบาลยังให้การอุดหนุนการส่งออกอยู่เช่นนี้
ข้อมูลของรัฐบาลอินเดียระบุว่า ปีงบประมาณ 2561/2562 ที่สิ้นสุดเมื่อเดือนมีนาคมปีนี้ อินเดียส่งออกข้าวสาลีได้เพียง 226,225 ตัน เทียบกับปีงบประมาณ 2555/2556 ที่ส่งออกได้มากเป็นประวัติการณ์ถึง 6.5 ล้านตัน ส่วนปริมาณข้าวสาลีคงคลังของรัฐบาลจนถึงวันที่ 1 พฤศจิกายนอยู่ที่ 37.4 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 13 จากช่วงเดียวกันปีก่อน และมากเป็นประวัติการณ์ที่สุดในขณะนี้.- สำนักข่าวไทย