ก.คลัง 25 พ.ย. – “สมคิด” ตั้งเป้าขยับอันดับความยากง่ายทำธุรกิจ ติดอันดับ 1 ใน 20 ปี 63 ยอมรับขับเคลื่อนเศรษฐกิจต้องดูแลทุกด้านไปพร้อมกัน
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมแนวทางการปรับปรุงสภาพแวดล้อม สำหรับการประกอบธุรกิจในประเทศไทยของธนาคารโลก (Doing Business) หวังเดินหน้าแก้ไขอุปสรรค การประกอบธุรกิจในประเทศไทย หลังจากการจัดอันดับปีที่ผ่านมาไทยขยับดีขึ้น 6 อันดับ จากอันดับ 27 มาอยู่อันดับ 21 ด้านไหนได้คะแนนร้อยละ 80-90 ต้องเร่งพัฒนาให้ได้คะแนนเต็ม เพราะตั้งเป้าหมายให้ติดอันดับ 1 ใน 20 เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในไทย จึงกำชับให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบข้าราชการ (ก.พ.ร.) เร่งประชาสัมพันธ์ให้ความรู้และความเข้าใจนักลงทุน ประชาชน เพื่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างกันลดอุปสรรคการทำธุรกิจในไทย เพื่อสะท้อนถึงประสิทธิภาพการบริการภาครัฐในการให้บริการประชาชนผู้มาติดต่อกับหน่วยงานราชการ รวมทั้งยังต้องอำนวยความสะดวกด้านการค้าระหว่างประเทศ เพื่อบริการต่างชาติให้มีความสะดวกมากขึ้น
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจ ขณะนี้กระทรวงการคลังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ เกิดเงินหมุนเวียนในระบบ การจับจ่ายใช้สอยและการลงทุน นับว่าเป็นเพียงส่วนหนึ่ง เพื่อประครองเศรษฐกิจ แต่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจต้องพึ่งทั้งการส่งออก ค่าครองชีพ การเบิกจ่ายภาครัฐ ดูแลภาคเกษตรกร ต้องขับเคลื่อนทุกด้านไปพร้อมกัน แต่การออกมาตรการดูแลเศรษฐกิจด้านอื่นไม่สามารถตอบได้ เพราะไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบ จึงต้องสอบถามกระทรวงที่รับผิดชอบ สำหรับกระทรวงการคลัง ได้ติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะการดูแลเศรษฐกิจที่ผ่านมาถูกขับเคลื่อนทั้ง 4 ด้าน คือ กระทรวงคมนาคม กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง แต่ปัจจุบันเหลือกระทรวงคลังด้านเดียว จึงต้องดำเนินได้เฉพาะในส่วนที่รับผิดชอบเท่านั้น
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า เตรียมเสนอมาตรการให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเร็ว ๆ นี้ หลังจากหารือในที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจ ทั้งเรื่องการส่งออก การบริโภค การลงทุน ยอมรับว่าเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวรายไตรมาส จึงต้องพิจาณาว่าควรออกมาตรการเติมส่วนไหนบ้าง
ผู้สื่อรายงานว่ากระทรวงการคลังเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายกลุ่ม ทั้งภาคเกษตรกร เอสเอ็มอี ผู้ประกอบการรายย่อย และผู้มีรายได้น้อย อาจใช้เงินขับเคลื่อนเศรษฐกิจช่วงปลายปีไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านบาท อาทิ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เตรียมออกมาตรการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและค่าปรับปรุงคุณภาพข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/2563 เพราะเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมของทุกปีเป็นช่วงเก็บเกี่ยวข้าว มีเกษตรกรผู้ปลูกข้าวกว่า 4.31 ล้านครัวเรือน พื้นที่ 3.4 ล้านไร่ รวมทั้งมาตรการพักชำระหนี้เงินต้นจากแบงก์รัฐ ระยะเวลา 1 ปี การให้สินเชื่อสำหรับผู้กู้รายใหม่ อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน และมีเงินรองรับการใช้จ่ายที่จำเป็น การเติมทุนให้กับกองทุนหมู่บ้านฯ เท่ากันทุก 79,000 ทั่วประเทศ เพื่อนำไปใช้พัฒนาโครงการที่สำคัญตามความต้องการท้องถิ่น ด้านการท่องเที่ยวเพื่อส่งเสริมการออกเดินทางไปต่างจังหวัดในเมืองรองมากขึ้น.-สำนักข่าวไทย