กทม.6 ส.ค.- ตำรวจเร่งรวบหลักฐาน เพื่อขอศาลออกหมายจับคนร้ายลอบวางระเบิดป่วนและวางเพลิงเมื่อ 1-2 สิงหาคม ไม่ต่ำ 7 คน ใน 3 จุดเกิดเหตุ
ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนเพื่อคลี่คลายคดีลอบวางระเบิดในพื้นที่กรุงเทพฯ,จังหวัดนนทบุรีและวางเพลิง เมื่อวันที่ 1 และ 2 สิงหาคมที่ผ่านมา ชุดทำคดียังคงเร่งรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อยื่นขอศาลออกหมายจับผู้ก่อเหตุ โดยมีรายงานว่า ตำรวจสามารถเชื่อมโยงข้อมูลกลุ่มคนร้ายได้ทั้งหมดแล้ว ทั้งกลุ่มก่อเหตุ ผู้สนับสนุน และนายทุนสั่งการที่อยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน
สำหรับข้อมูลการสืบสวนกลุ่มผู้ก่อเหตุ ตำรวจพบว่ามีจำนวน 15 คน ก่อเหตุทั้งหมด 14 จุด ในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่ง 3 จุด คือ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ และห้างแพลตตินัม ซึ่งไม่ปรากฎเป็นข่าวก่อนหน้านี้ โดยตำรวจสามารถเชื่อมโยงข้อมูลได้ล่าสุดว่าเป็นการวางระเบิดเพลิงเช่นเดียวกับที่ตลาดไซด์วอร์ค ประตูน้ำ แต่เหตุเพลิงไหม้ไม่รุนแรงมากนัก และเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมเพลิงได้อย่างรวดเร็ว
พฤติการณ์ของกลุ่มผู้ก่อเหตุที่ตลาดไซด์วอร์ค ตำรวจตรวจสอบพบว่า เดินทางเข้ามากรุงเทพมหานคร 4 คน ก่อนไปพักอาศัยอยู่ย่านซอยรามคำแหง 65 วันเกิดเหตุทั้งหมด นั่งเรือโดยสารจากท่าเรือย่านรามคำแหง มาลงที่ท่าเรือประตูน้ำ และลงมือก่อเหตุ จากนั้นได้เรียกรถแท็กซี่ไปส่งที่ขนส่งสายใต้ใหม่ทันที
ส่วนกลุ่มผู้ก่อเหตุในจุดอื่น หลายจุดตำรวจพบเส้นทางการก่อเหตุ ในลักษณะเดียวกัน แต่ยังไม่สามารถยืนยันว่า ทั้งหมดรู้จักกันหรือไม่ โดยมีการเดินทางมาจากอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เข้ามาในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ก่อนเกิดเหตุประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อศึกษาเส้นทาง ดูลาดเลาและวางแผนก่อเหตุ โดยไม่มีการนำระเบิดที่ใช้ก่อเหตุติดตัวมาด้วย แต่มานัดรับในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
ในส่วนของนายลูไซ แซแง และนายวิลดัน มาหะ ผู้ต้องสงสัยลอบวางระเบิดหน้าป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ถูกควบคุมตัวโดยใช้กฎหมายพิเศษ ด้านความมั่นคง อยู่ที่จังหวัดยะลา ตำรวจพบว่า ก่อนเกิดเหตุเดินทางออกนอกประเทศ ทางด่านนราธิวาส ก่อนเดินทางกลับเข้าประเทศ และเดินทางมาก่อเหตุในกรุงเทพมหานคร
เบื้องต้นนายลูไซและนายวิลดัน ให้การรับสารภาพว่าก่อเหตุจริง แต่ไม่ทราบข้อมูลในจุดอื่น ซึ่งตำรวจไม่ปักใจเชื่อ เพราะจากการตรวจสอบประวัติทั้ง 2 คน มีหมายจับคดีความมั่นคง เป็นบุคคลที่อยู่ในบัญชีแนวร่วมกลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ด้วย
มีรายงานเพิ่มเติมอีกว่า จากการขยายผลสอบปากคำ ได้ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยมาสอบปากคำเพิ่มเติมอีก 2 คน มีความสัมพันธ์เป็นพี่เขย ของ 1 ในผู้ต้องสงสัยลอบวางระเบิดหน้าป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งจากการสืบสวนพบว่าผู้ต้องสงสัย 1 ใน 2 คนล่าสุด ทำหน้าที่ส่งระเบิดให้ผู้ปฏิบัติการทั้ง 3 คน ชื่อ”อาแบ” ทำหน้าที่สำรวจพื้นที่เป้าหมายทำงานให้ผู้ปฏิบัติการทั้ง 3 คน ซึ่งตำรวจได้ข้อมูลจากการสอบปากคำนักศึกษามหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งที่ให้ข้อมูล ว่า นายอาแบ เป็นรุ่นพี่ ไหว้วานให้ขับขี่รถจักรยายนต์พามาที่ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ ซึ่งตำรวจสามารถติดตามตัวนายอาแบ และควบคุมไปสอบสวนเมื่อสามวันก่อน
สรุปข้อมูลการก่อเหตุระเบิดกรุงเทพฯ,นนทบุรีและวางเพลิง มีผู้ก่อเหตุประมาณ 15 คน ก่อเหตุทั้งหมด 14 จุด หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 2 คน, หน้าอาคารคิงพาวเวอร์มหานคร บีทีเอส ช่องนนทรี ท้องที่สน.ยานนาวา 2 คน , ตลาดไซด์วอร์ค ย่านประตูน้ำ ท้องที่ สน.พญาไท 4 คน, ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ พื้นที่ สน.ทุ่งสองห้อง 2 คน, หน้าสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ท้องที่ สภ.ปากเกร็ด 1 คน ห้างสยามพารากอนและ สยามเซ็นเตอร์ ท้องที่ สน.ปทุมวัน 2 คน และห้างแพลตตินัม ท้องที่สน.พญาไท อีก 2 คน
ยังมีรายงานอีกว่า จากข้อมูลทั้งหมดที่มีตอนนี้ ตำรวจเตรียมยื่นขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ก่อเหตุเบื้องต้นไม่ต่ำ 7 คน คือ มือวางระเบิดตลาดไซด์วอร์ค ย่านประตูน้ำ 4 คน, ศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ 2 คน และหน้าป้ายสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม 1 คน แต่ยังคงต้องรอพยานหลักฐานด้านนิติวิทยาศาสตร์ มาสนับสนุนหลักฐานที่มีทั้งหมดอีกครั้ง คาดจะได้ผลตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์อีก 2-3 วัน
บรรยากาศตลอดทั้งวันที่กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล หนึ่งในประเด็นสำคัญวันนี้คือการเชิญ พันตำรวจเอกกำธร อุ่ยเจริญ รองผู้บังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ หรือ 191 พร้อมเจ้าหน้าที่กลุ่มงานเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด หรืออีโอดี มาให้ข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบและชนิดของระเบิดที่ใช้ก่อเหตุครั้งนี้ และเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดก่อนหน้านี้ทั้งหมด โดย พ.ต.อ.กำธร ขอปฏิเสธให้ข้อมูลกับสื่อ ขอให้ผู้บังคับบัญชาเป็นผู้ให้ข้อมูลเท่านั้น
รายงานว่า เจ้าหนห้าที่อีโอดี ให้ข้อมูลกับชุดทำคดีว่า จากการตรวจสอบที่้เกิดเหตุแต่ละจุดพบหลักฐานหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือ ไอซีไทเมอร์ หรือไอซีตั้งเวลา ที่เมื่อนำไปเทียบเคียง กลับพบว่ารูปแบบการประกอบระเบิดและวัสดุที่นำมาใช้ในครั้งนี้คล้ายกับเหตุระเบิดในพื้นที่ 3 จังหวัดของภาคใต้ ซึ่งข้อมูลทั้งหมดเป็นหนึ่งในพยานหลักฐานสำคัญที่ตำรวจใช้ประกอบสำนวนคดีเพื่อเตรียมขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ก่อเหตุในคดีนี้.-สำนักข่าวไทย