นิวยอร์ก 27 มี.ค.- หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ของสหรัฐสำรวจผลที่อาจตามมา หากกฎหมายประกันสุขภาพสมัยรัฐบาลบารัค โอบามาหรือที่มักเรียกกันว่าโอบามาแคร์ ถูกยกเลิกในรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์
กระทรวงยุติธรรมสหรัฐประกาศเมื่อไม่กี่วันก่อนว่า ได้เปลี่ยนจุดยืนแล้ว โดยเห็นด้วยกับผู้พิพากษารัฐเทกซัสที่ยกเลิกโอบามาแคร์ทั้งฉบับเมื่อปลายปีก่อน นิวยอร์กไทมส์รวบรวมการประเมินจากหลายกลุ่มถึงผลที่อาจเกิดขึ้นหากกฎหมายฉบับนี้ถูกยกเลิกหลังจากบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2553 ว่า ชาวอเมริกัน 21 ล้านคนจากทั้งหมด 23 ล้านคนที่ซื้อประกันสุขภาพจากบริษัทที่กฎหมายกำหนดหรือมีประกันจากการขยายโครงการเมดิเคด (Medicaid) สำหรับผู้มีรายได้น้อย อาจไม่มีประกันอีกต่อไป เพราะปัจจุบันทางการใน 39 รัฐได้อุดหนุนค่าเบี้ยรายเดือนให้ประชาชนเฉลี่ย 525 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 16,670 บาท) จากทั้งหมด 612 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 19,433 บาท) เช่นเดียวกับผู้มีรายได้น้อย 12 ล้านคนที่ได้ประกันฟรีตามโครงการเมดิเคดก็อาจไม่มีประกันอีกต่อไป
การประเมินคาดว่า การฉีกกฎหมายโอบามาแคร์อาจกระทบต่อการรักษาผู้เสพติดสารกลุ่มโอปิออยด์ที่กำลังเป็นปัญหาทั่วทุกหัวระแหงของสหรัฐ เพราะร้อยละ 40 ของผู้เสพติดวัย 18-65 ปีพึ่งพาโครงการเมดิเคด งบประมาณการรักษาได้รับการจัดสรรเพิ่มขึ้นจาก 358 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 11,368 ล้านบาท) ในปี 2556 เป็น 874 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 27,755 ล้านบาท) หากงบลดลงปัญหาการเสพติดอาจรุนแรงขึ้น ขณะที่ชาวอเมริกัน 133 ล้านคนที่มีโรคประจำตัว เช่น หอบหืด ความดันโลหิตสูง ที่มีประกันได้เพราะโอบามาแคร์ห้ามบริษัทประกันปฏิเสธ อาจไม่สามารถซื้อประกันหรือต้องจ่ายเบี้ยแพงขึ้น เช่นเดียวกับผู้มีอายุ 65 ปีขึ้นไปและผู้พิการราว 60 ล้านคนที่เคยได้รับการตรวจสุขภาพฟรีตามโครงการเมดิแคร์ (Medicare) ก็อาจต้องเสียเงินและต้องจ่ายเงินค่ายาแพงขึ้น ส่วนคนอายุต่ำกว่า 26 ปีราว 2 ล้านคนที่เคยได้ประกันจากนายจ้างของบิดามารดาตามที่โอบามาแคร์กำหนดก็อาจเสียสิทธินี้.-สำนักข่าวไทย