กรุงเทพฯ 4 ก.พ.-กระทรวงพลังงานเล็งลดสำรองน้ำมันส่งเสริมผู้ค้านำเข้าน้ำมันยูโร
5 เพื่อเป็นทางเลือกขายดีเซลเกรดพิเศษแก่รถกระบะ ลดฝุ่น
ลั่นไม่ต้องใช้บี 10 เพราะบี 20
ช่วยดูดซับปาล์มและลดมลพิษ ด้านบีบีจีไอเรียกร้องใช้อี 20,อี
85ควบคู่บี 20
นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ในการช่วยลดปัญหาฝุ่นขนาดเล็ก
PM 2.5 ในเมือง
ทางกระทรวงฯกำลังพิจารณาจะลดการสำรองน้ำมันสำหรับผู้นำเข้าน้ำมันดีเซลที่ผลิตได้มาตรฐานยุโรประดับที่
5 หรือยูโร 5
จากปัจจุบันต้องสำรองน้ำมันทางกฏหมายรวมร้อยละ 7 เช่น อาจจะลดเหลือร้อยละ 2 เพื่อจูงใจให้สถานีบริการน้ำมันต่าง ๆ ขายน้ำมันดีเซลเกรดพรีเมียมยูโร 5
ช่วยลดปัญหาฝุ่นเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันมีผู้จำหน่ายดีเซลยูโร 5 เพียง 2
รายจากโรงกลั่นฯในประเทศ คือ ปตท.และบางจากฯขายผ่านน้ำมันดีเซลเกรด พรีเมียมแพงกว่าดีเซลบี 7 ในอัตราลิตรละ 3.50 บาท ซึ่งจะได้ขอความร่วมมือ 2
ค่ายปรับลดราคาลงมาเป็นการชั่วคราวเพื่อจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้เพิ่มขึ้น
“หากจะรอให้ทุกโรงกลั่นน้ำมันในประเทศกลั่นยูโร
5 อาจต้องใช้เวลา 4-5 ปี ดังนั้น
หากปั๊มต่างๆหันมาขายดีเซลยูโร 5 มากขึ้นในราคาที่ต่ำลง
จะมาจากทั้งโรงกลั่นฯในประเทศบางแห่ง หรือนำเข้าก็จะเป็นทางเลือกของประชาชนสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลเช่นรถกระบะในเมืองใหญ่
ส่วนรถบรรทุกขนาดใหญ่ก็ควรหันมาใช้บี 20
ก็ช่วยลดปัญหาฝุ่นได้ร้อยละ 15-20 เมื่อเปรียบเทียบกับดีเซล
โดยภาพรวมขณะนี้ยังไม่จำเป็นต้องขยับขึ้นไปใช้บี10
แต่อย่างใด”รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานกล่าว
ทั้งนี้ ดีเซลพรีเมียมมาตรฐาน Euro 5
เป็นมาตรฐานที่ใช้ควบคุมการปล่อยไอเสียที่มีค่ากำมะถันอยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่า 10
ppm มีอนุภาคในการเผาผลาญ ทำความสะอาดหมดจด ลดการเกิดฝุ่นละออง PM2.5 และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้รถ
เพราะป้องกันการอุดตันภายในหัวฉีด, เครื่องยนต์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพสามารถเพิ่มกำลังและอัตราการเร่ง
ขณะที่ซัสโก้,บางจากฯ,ปตท.ได้เริ่มจำหน่ายบี
20 แล้วรายละ 5 แห่ง
นายศิริ กล่าวอีกว่า ในส่วนของการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าบางปะกง
โดยใช้น้ำมันปาล์มดิบหรือซีพีโอร่วมเป็นเชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาตินั้นเป็นไปด้วยดี
โดยมีเป้าหมายจะดึงซีพีโอ 160,000 ตัน
ช่วยให้เกษตรกรได้ราคาผลปาล์มดิบไม่ต่ำกว่า 3.04 บาท/กิโลกรัม
พบว่า ยอดที่มีการติดต่อจำหน่ายผ่านกรมการค้าภายในยังไม่ครบตามเป้าหมาย
เรื่องนี้ก็ไม่เป็นไร เพียงแต่ช่วยดึงราคาให้สูงขึ้นก็พอใจแล้ว
ซึ่งล่าสุดก็พบว่าราคาขยับเป็นไปตามเป้าหมายแล้ว
นายพงษ์ชัย ชัยจิรวิวัฒน์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท
บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ BBGI เปิดเผยว่าการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพทั้งไบโอดีเซลและเอทานอล
เป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถช่วยลดปริมาณก๊าซพิษและฝุ่นละอองในอากาศ โดยการเพิ่มสัดส่วนทั้ง
B7,B10,B20 เนื่องจากเขม่าของไบโอดีเซลมีขนาดเล็กกว่าเขม่าของน้ำมันดีเซลทั่วไป
ขณะที่การใช้แก๊สโซฮอล์ E20 หรือ E85
จะช่วยลดปริมาณฝุ่นละอองและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ดีกว่าการใช้แก๊สโซฮอล์ 91 หรือ 95
เนื่องจากการผสมเอทานอลในน้ำมันเบนซินจะช่วยเพิ่มค่าออกเทนและเป็นเชื้อเพลิงที่ช่วยให้การเผาไหม้สมบูรณ์กว่าน้ำมันเบนซินปกติ
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน พบว่ารถยนต์ยังมีอัตราการใช้ E20
น้อยกว่าที่ควรจะเป็นค่อนข้างมาก
จึงขอสนับสนุนให้ภาครัฐเร่งผลักดันการใช้น้ำมันดีเซล B10
หรือ B20 และรณรงค์ให้ผู้ใช้รถยนต์หันมาใช้ E20 หรือ E85 เพิ่มขึ้นเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ บีบีจีไอ มีความพร้อมในการผลิตเอทานอลและไบโอดีเซล
ปัจจุบันที่มีกำลังผลิตเอทานอล 900,000 ลิตรต่อวัน และไบโอดีเซล 930,000 ลิตรต่อวัน ล่าสุด กลุ่มบริษัทฯ
ได้ลงนามในสัญญาสนับสนุนโครงการขยายกำลังการผลิตเอทานอลและเงินทุนหมุนเวียน รวม 1,125 ล้านบาท กับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
เพื่อนำมาขยายกำลังการผลิตเอทานอลเพิ่มอีก 300,000
ลิตรต่อวัน ทำให้มีกำลังการผลิตเอทานอลรวม
1.2 ล้านลิตรต่อวัน -สำนักข่าวไทย