กรุงเทพฯ 9 พ.ย.- GC ประกาศผลดำเนินงานไตรมาส 3 กำไรสุทธิ 12,793 ล้านบาท มีรายได้จากการขายรวม 136,712 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิในรอบ 9 เดือนแรกของปี 2561 จำนวน 36,008 ล้านบาท เป็นการทำกำไรที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 21 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจโดยยึดหลัก Circular Economy ประยุกต์ใช้ทั้งภายในและภายนอกองค์กร พร้อมสร้างความตระหนักรู้ มุ่งหวังไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่าและเป้าหมายสร้างให้ GC เป็นต้นแบบองค์กรแห่งความยั่งยืนอย่างแท้จริง
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (CEO) GC เปิดเผยว่า ไตรมาส 3/2561 บริษัทฯ มีผลการดำเนินการดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า โดยมีรายได้จากการขาย 136,712 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 มี Adjusted EBITDA 16,830 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิรวม 12,793 ล้านบาท (2.84 บาท/หุ้น) ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 และร้อยละ 18 ตามลำดับ และเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 3/2560 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 31 ขณะที่ Adjusted EBITDA และกำไรสุทธิรวม ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 และร้อยละ 29 ตามลำดับ สำหรับผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี 2561 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิรวม 36,008 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 21 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์
ทั้งนี้ ไตรมาส 3/2561 ธุรกิจโอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องมีผลประกอบการปรับลดลงเล็กน้อย จากไตรมาส 3/2560 โดยในส่วนของธุรกิจโพลิเมอร์มีปริมาณการขายเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทฯ มีกำลังการผลิตใหม่จากโรงงาน LLDPE กำลังการผลิต 400,000 ตันต่อปี เริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์เดือนมีนาคม 2561 ขณะที่ธุรกิจผลิตภัณฑ์เอทิลีนออกไซด์ปรับตัวลดลงจากราคาวัตถุดิบเพิ่มขึ้น และเมื่อเปรียบเทียบกับผลประกอบการไตรมาส 2/2561 พบว่าผลประกอบการไตรมาสนี้ของธุรกิจโอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องมีการปรับตัวลดลงเล็กน้อย โดยเป็นผลจากระดับราคาผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์ที่ปรับตัวลดลง ประกอบกับปริมาณการขายโอเลฟินส์ที่ลดลง ซึ่งเป็นผลจากการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนของโรงงานโอเลฟินส์ 1
สำหรับธุรกิจอะโรเมติกส์มีกำไรเพิ่มขึ้น ทั้งจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วและจากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของส่วนต่างผลิตภัณฑ์พาราไซลีนเป็นหลักและปริมาณการขายที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อเนื่องจากการที่มีการหยุดซ่อมบำรุง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตปีที่แล้ว สำหรับธุรกิจผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมปรับตัวลดลงจากไตรมาส 3/2560 เป็นผลจากส่วนต่างของผลิตภัณฑ์ที่ลดลงเป็นหลัก แต่ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า จากส่วนต่างของผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้นโดยเฉพาะในส่วนของน้ำมันเตา ทั้งนี้ในส่วนของส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุน มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากผลประกอบการที่ดีขึ้นของธุรกิจอะคริโลไนไตรล์ (AN) ธุรกิจพีวีซี และผลประกอบการดีขึ้นในส่วนของธุรกิจไบโอพลาสติกที่บริษัทฯ ดำเนินการผ่าน บริษัท Natureworks ซึ่งดำเนินธุรกิจอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา
สรุปผลการดำเนินงานตามกลุ่มธุรกิจ ดังนี้ โรงกลั่นน้ำมัน มีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ร้อยละ 102 โรงอะโรเมติกส์ มีอัตราการใช้กำลังการผลิตสารอะโรเมติกส์ (BTX Utilization) เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 94 โรงโอเลฟินส์ มีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ร้อยละ 98 โรงผลิตเม็ดพลาสติก PE มีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ร้อยละ 97 ราคาเม็ดพลาสติก HDPE เฉลี่ยอยู่ที่ 1,350 เหรียญฯ ต่อตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3/2560 ร้อยละ 19
ด้านความคืบหน้าและโครงการลงทุนต่าง ๆ มีดังนี้ โครงการซื้อหุ้น Revolve Group Limited (RGL) จากประเทศสหราชอาณาจักร ร้อยละ 49 เป็นแผนการขยายการลงทุนต่อยอดและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ มุ่งเน้นการลงทุนไปยังผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติเฉพาะทางและมีสมรรถนะสูง (Performance Chemicals) โดย RGL เป็นผู้ผลิต Rotomolding Compound รายสำคัญที่มีสัดส่วนในการทำธุรกิจลำดับต้น ๆ ของทวีปยุโรป มีฐานการผลิตในประเทศต่าง ๆ ทั้งอังกฤษ โปแลนด์ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และมาเลเซีย โครงการนี้วัตถุดิบสำคัญ คือ เม็ดพลาสติก LLDPE ซึ่งเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์ของ GC ซึ่งการเข้าสู่ธุรกิจดังกล่าวเป็นการก้าวเข้าไปสู่กลุ่มอุตสาหกรรมก่อสร้าง (Construction) ด้วยศักยภาพในการผลิต ถังบรรจุขนาดใหญ่ ถังเก็บน้ำใต้ดิน บนดิน ธุรกิจด้าน Sport สร้างสนามเด็กเล่น เรือคายัค เรือใบ ด้วยคุณสมบัติของเม็ดพลาสติก LLDPE Rotomolding Compound ที่มีความแข็งแรง คงทน ทนแดด ทนฝน เหมาะสมในการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกขนาดใหญ่
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า GC ขับเคลื่อนธุรกิจโดยนำหลัก Circular Economy มาประยุกต์ใช้ทั้งภายในและภายนอกองค์กร พร้อมสร้างความตระหนักรู้ โดยมุ่งหวังไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การสร้างให้ GC เป็นต้นแบบองค์กรแห่งความยั่งยืนอย่างแท้จริง
บริษัทฯ มุ่งมั่นในการประกอบกิจการที่เน้นการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า ควบคู่กับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม นอกเหนือจากนี้ยังประยุกต์ใช้หลักการของเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพื่อใช้เป็นพื้นฐานในการดำเนินงานด้านความยั่งยืน การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าในขั้นตอนการผลิต การอุปโภคบริโภค และการกำจัดขยะและของเสียจากผลิตภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพและลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และมุ่งเน้นในการนำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนมาสร้างดุลยภาพระหว่างเทคโนโลยีกับชีวภาพเพื่อลดการเกิดของเสียและลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมตลอดห่วงโซ่อุปทาน
บริษัทฯ ขับเคลื่อนธุรกิจโดยนำหลัก Circular Economy มาประยุกต์ใช้ทั้งภายในและภายนอกองค์กร พร้อมสร้างความตระหนักรู้ โดยมุ่งหวังไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การสร้างให้ GC เป็นต้นแบบแนวคิดและการดำเนินชีวิตแบบ GC Circular Living โดยมีแนวทางในการบริหารจัดการ 4 ด้าน ได้แก่ การบริหารทรัพยากร (Resources) ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง การบริหารจัดการกระบวนการผลิต (Production) โดยใช้หลัก 3Rs เพื่อก้าวไปสู่ 5Rs (Reduce, Reuse, Recycle, Renewable และ Refuse) การบริโภคและการนำไปใช้ (Consumption) ให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด และการบริหารจัดการขยะ (Waste Management) อย่างมีประสิทธิภาพ
บริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะลดปริมาณการใช้พลาสติกชนิดใช้แล้วทิ้ง (Single Used Plastic) เช่น ถุงช็อปปิ้ง จำนวน 150,000 ตันต่อปี ให้เหลือ 0 ตันต่อปี ภายใน 5 ปี การมุ่งสู่ตลาดไบโอพลาสติก ในการผลิต Packaging รูปแบบต่าง ๆ การ Upcycling ด้วยการนำนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์มาเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งดำเนินธุรกิจพลาสติกรีไซเคิล (Recycled Plastic) โดยอยู่ในระหว่างการศึกษาการลงทุนโรงงานรีไซเคิล พลาสติกครบวงจรมาตรฐานสากลระดับโลก ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม จังหวัดระยอง ขณะนี้อยู่ระหว่างการคัดเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสม การแสวงหาพันธมิตรร่วมลงทุน รวมทั้งการจัดหาวัตถุดิบ (Waste Collection) ที่เหมาะสม คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในต้นปีหน้า.-สำนักข่าวไทย