กรุงเทพฯ 19 ก.ย. – ส.อ.ท.เผยฝนตกหนัก-น้ำท่วมหลายพื้นที่กระทบกำลังซื้อ ฉุดดัชนีเชื่อมั่นอุตฯ ลดลงอยู่ที่ระดับ 92.5 แนะรัฐดูแลเงินบาทให้สอดคล้องกับประเทศอื่นในภูมิภาค ขณะที่ยอดขายรถยนต์ดีต่อเนื่อง
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) แถลงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนสิงหาคม 2561 ว่า ดัชนีฯ อยู่ที่ระดับ 92.5 ลดลงจากระดับ 93.2 ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เนื่องจากปัจจัยฤดูกาลที่มีฝนตกมากต่อเนื่องและน้ำท่วมหลายพื้นที่โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือกระทบกำลังซื้อในส่วนภูมิภาคส่งผลให้ยอดขายชะลอตัวลง โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าไม่คงทนและกลุ่มอุตสาหกรรมก่อสร้าง ขณะที่ต้นทุนประกอบการเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันและวัตถุดิบ รวมทั้งความกังวลของผู้ส่งออกที่มีต่อมาตรการภาษีนำเข้าของประเทศสหรัฐ
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 105.6 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 104.5 ในเดือนกรกฎาคม สะท้อนว่าผู้ประกอบการมีมุมมองต่อการดำเนินกิจการในระดับที่ดีในช่วง 3 ข้างหน้า จากปัจจัยสนับสนุนคำสั่งซื้อและการผลิตสินค้า เพื่อส่งมอบในช่วงปลายปีนี้ สำหรับข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ คือ ดูแลค่าเงินบาทให้สอดคล้องกับประเทศอื่นในภูมิภาค เพื่อไม่ให้เสียเปรียบประเทศคู่แข่งทางการค้าของไทยและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออก
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท. เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศดีต่อเนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศดีขึ้น ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากการลงทุนของภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น รวมถึงผลผลิตสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้น การก่อสร้างของรัฐวิสาหกิจและเอกชนขยายตัวต่อเนื่อง ยอดขายรถยนต์ในประเทศ จึงดีขึ้นต่อเนื่อง โดยเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาขายได้ 86,780 คัน เพิ่มจากช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมาคิดเป็นร้อยละ 27.7 สูงกว่าเดือนกรกฎาคม 2561 คิดเป็นร้อยละ 5.9 ยอดขายสะสม 8 เดือนปีนี้ (ม.ค.-ส.ค.) มียอดขายสะสมรวม 657,844 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมาคิดเป็นร้อยละ 21.1 คาดว่าปีนี้ยอดขายในประเทศจะมีโอกาสทะลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 980,000 คัน ผลิตเพื่อขายในประเทศเป้าหมาย 980,000 คันก็มีโอกาสทะลุเป้าหมายเช่นกัน แต่ต้องดูยอดรถนำเข้ามาขายในประเทศก่อนว่าจะมีจำนวนมากน้อยเพียงใด ส่วนการส่งออกคาดว่าจะปีนี้จะทำได้ตามเป้าหมาย 1.1 ล้านคัน คาดยอดผลิตรวมตลอดปีนี้อาจทะลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 2.1 ล้านคัน. -สำนักข่าวไทย