นครปฐม 10 มิ.ย. – กำลังทหาร ทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กว่า 50 นาย บุกเข้าจับตัวสาวใหญ่พร้อมสามีชาวพม่า หลังโพสต์ข้อความและภาพไม่เหมาะสมบนโลกโซเชียล ตรวจสอบประวัติฝ่ายหญิงพบป่วยมานาน และเคยโดนจับกรณีคล้ายลักษณะนี้มาก่อน ส่วนสามีพม่า ตกใจปีนหลังคาหนี เจ้าหน้าที่ต้องเกลี้ยกล่อมนาน 6 ชั่วโมง ก่อนจะจนมุม ถูกรวบตัวไปสอบปากคำทั้งคู่
เมื่อวานนี้ ตำรวจ และทหาร จังหวัดนครปฐม สนธิกำลังบุกไปบ้านหลังหนึ่งในตำบลทุ่งขวาง อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม หลังมีข้อมูลว่า นางสาวสิริสวัสดิ์ มิ่งขวัญไทย เจ้าของบ้านโพสต์เฟซบุ๊กหมิ่นเบื้องสูง เมื่อ 8 มิถุนายน
ทั้งนี้ เมื่อกำลังเจ้าหน้าที่ไปถึงได้มีการปิดกั้นไม่ให้สื่อบันทึกภาพภายในบ้าน แต่มีชาวบ้านที่ทราบข่าวต่างมามุงดูเหตุการณ์ด้านนอกเป็นจำนวนมาก เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้พยายามเจรจากับทั้งสามีและภรรยา โดยนางสาวสิริสวัสดิ์ ยอมพูดคุยกับเจ้าหน้าที่โดยดี แต่สามีชาวพม่าของนางสาวสิริสวัสดิ์ ซึ่งเป็นชาวพม่า กลับตกใจวิ่งหนีขึ้นฝ้าเพดาน ก่อนปีนหลังคาบ้านเพื่อหวังหลบหนี เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลากว่า 6 ชั่วโมง เจรจานำตัวลงมาได้
ส่วนการสอบถามเพื่อนบ้าน ทราบว่า นางสาวสิริสวัสดิ์ ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร จะออกจากบ้านมาก็เพื่อซื้อกับข้าวที่หน้าบ้านเท่านั้น ชอบแต่งตัวสวยแบบผู้ดี พูดจาดีกับคนทั่วไป แต่ดูโดยรวมจะมีลักษณะเหมือนคนไม่ปกติทางจิต นอกจากนี้ มักมีการขึ้นป้ายไม่เหมาะสมหลายครั้ง เจ้าหน้าที่ก็จะมานำออกทุกครั้ง
ขณะที่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบประวัตินางสาวสิริสวัสดิ์ พบว่าเพิ่งคบหากับสามีคนนี้ได้ไม่นาน และมีพฤติกรรมแสดงตัวไม่เหมาะสม และถูกจับกุมในลักษณะนี้มาเมื่อ 3 ปีก่อน โดยมีประวัติเป็นผู้เสพยาเสพติดและมีอาการทางประสาท เคยได้รับการรักษาหลายครั้ง แต่คาดว่าจะรักษาตัวไม่ต่อเนื่อง จึงได้มีการโพสต์เฟซบุ๊กที่ไม่เหมาะสม
ขณะที่ สำนักข่าวไทยสอบถามไปยังพระมหาไพรวัลย์ พระวัดสร้อยทอง ท่านมองว่าเป็นการสะท้อนวิธีคิดในสังคมไทยยังไม่เปลี่ยนแปลง ที่ศรัทธาอะไรแล้วจะเชื่อแบบสุดตัว และแสดงให้เห็นว่าคนหาที่พึ่งไม่ได้ จึงต้องหาสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ เพราะเชื่อว่าการพึ่งคนทรงเจ้าจะทำให้ประสบความสำเร็จ บรรลุเป้าหมายได้รวดเร็ว แต่ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด คือผู้ที่อ้างว่าเป็นร่างทรง อาจแสวงหาประโยชน์จากความศรัทธาของประชาชน และหลอกเรียกรับเงิน
ด้าน นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกระแสร่างทรง ว่า เรื่องนี้เกี่ยวกับความเชื่อ การพิจารณาว่า เกี่ยวกับร่างทรงมี 3 ประเภท คือ 1.ร่างทรงแบบจิตใต้สำนึก คือมีตัวตนจริง 2.ร่างทรงแบบหลอกลวง และรู้ตัวดี ทำให้คนอื่นหลงเชื่อ และ 3.ร่างทรงแบบหลงผิด ป่วยด้วยอาการทางจิตหูแว่ว ประสาทหลอน หรือ ป่วยเป็นไบโพล่า ซึ่งในแบบที่ 1 และ 3 แยกออกจากกันได้ยาก มีแค่จิตแพทย์เท่านั้น ที่แยกออก
ซึ่งอาการเหล่านี้ มีตั้งแต่ พูดเยอะ หลงผิด และมีพฤติกรรมทางจิตร่วม ส่วนในแบบที่ 2 หลอกลวง ก็มีความชัดเจน ในพฤติกรรม จงใจให้เกิดความหลงเชื่อ สร้างความเข้าใจผิด อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมของคนไทยส่วนใหญ่เป็นคนเชื่อคนง่าย พร้อมที่จะเชื่อ ทำให้ถูกหลอก สาเหตุส่วนหนึ่งเพราะขาดหลักยึดในจิตใจ ทำให้ขาดวิจารณญาณ ประกอบการตัดสินใจ ยิ่งมีสื่อที่ขาดจรรยาบรรณ ช่วยกันประโคมข่าวทำให้เกิดความหลงเชื่อ หลงผิดในสังคม ทำให้ประชาชนถูกหลอกมากขึ้น ซึ่ง นพ.ยงยุทธ มองว่า เรื่องการหลอกลวง จากร่างทรงผ่านสื่อ ร้ายแรงยิ่งกว่าการแบ่งแยกสี ทางการเมือง ดังนั้น กสทช. ที่มีหน้าที่กำกับดูแลต้องตรวจสอบ และใช้อำนาจที่มีป้องกันประชาชนจากความหลงเชื่อ ขณะเดียวกันประชาชน ต้องมีสติคิดพิจารณาให้รอบคอบ ด้วยสติสัมปชัญญะ ว่า ร่างทรงทั้ง 3 แบบ ไม่ว่าจะแบบไหน ช่วยเราได้จริงหรือ คนที่มีอาการป่วยจะช่วยเราได้หรือ เพราะการแสวงหาร่างทรง แค่เป็นการแสวงหาความสบายใจ ชั่วครู่ชั่วยาม ไม่ได้แก้ปัญหาอย่างแท้จริง. -สำนักข่าวไทย