กรมปศุสัตว์ 23 เม.ย.-กรมปศุสัตว์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าไปแล้ว
4.33 ล้านตัวจากเป้าหมาย 8.24 ล้านตัว คาดสิ้นปีนี้จะทำได้ตามเป้าหมาย
ขณะที่เขตโรคระบาดพิษสุนัขบ้าปัจจุบันยังมีอยู่ 39 จังหวัดรวมถึงกรุงเทพมหานคร
นายสัตวแพทย์อภัย สุทธิสังข์
อธิบดีกรมปศุสัตว์
เปิดเผยถึงความก้าวหน้าในการควบคุมโรคพิษสุนัขบ้า ประจำวันที่ 23 เมษายน 2561 ว่า
การฉีดวัคซีนให้แก่สุนัข-แมวซึ่งเป็นการบูรณาการระหว่างกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นและกรมปศุสัตว์
ที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ 8.24 ล้านตัว
ได้มีการดำเนินการสะสมตั้งแต่เดือนตุลาคม 2560 จนถึงวันนี้รวมทั้งสิ้น 4,333,326 ตัว
โดยการฉีดวัคซีนรอบจุดเกิดโรคในรัศมี 5 กม.ได้ 100 % แล้ว
และคาดว่าเมื่อถึงสิ้นปีจะได้ตามเป้าหมาย
สำหรับการผ่าตัดทำหมันซึ่งมีเป้าหมาย 300,000 ตัว
มีการดำเนินการสะสมตั้งแต่เดือนตุลาคม 2560 จนถึงวันนี้( 23 เม.ย.) รวมทั้งสิ้น
จำนวน 168,753 ตัว
และทำการอบรมอาสาปศุสัตว์ด้านโรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งตั้งเป้าไว้ 17,500 คน
มีผลงานสะสมตั้งแต่เดือนตุลาคม 2560 จนถึงวันนี้ จำนวน 42,621
คน ซึ่งเป็นอาสาจากท้องถิ่นละ
1-2 ราย
ทำงานร่วมกับ อสม. นอกจากนี้
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้ขึ้นทะเบียนสุนัขและแมว แล้ว 7.3
ล้านตัว โดยยอดที่สำรวจสุนัข
แมวในปีที่ผ่านมามี ประมาณ 10 ล้านตัว
ส่วนการประกาศเขตโรคระบาดสัตว์ในช่วงมกราคม – 22 เมษายน 2561
มีการประกาศเขตโรคระบาดชั่วคราว (อายุ 30 วัน) จำนวน 48 จังหวัด ปัจจุบันคงเหลือ 39 จังหวัด ได้แก่
กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สระบุรี
ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี ระยอง
สมุทรปราการ ชัยภูมิ นครราชสีมา
บุรีรัมย์ ยโสธร ศรีสะเกษ
สุรินทร์ อำนาจเจริญ อุบลราชธานี
กาฬสินธุ์ ขอนแก่น นครพนม
มหาสารคาม มุกดาหาร ร้อยเอ็ด
เชียงราย พะเยา พิจิตร
กาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี
สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สุพรรณบุรี
กระบี่ ตรัง นครศรีธรรมราช
พัทลุง ระนอง สุราษฎร์ธานี
สงขลา และสตูล
อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวอีกว่า กรมปศุสัตว์มีเหตุผลความจำเป็นในการประกาศเขตโรคระบาด
เพื่อสามารถกำหนดพื้นที่ควบคุมในระยะ
5 กิโลเมตรรอบจุดเกิดโรค
ทำให้สามารถระบุชนิดสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ต้องควบคุมได้ทุกชนิด
ห้ามเคลื่อนย้ายสัตว์หรือซากสัตว์ตามประกาศเว้นแต่ได้รับอนุญาต
และสัตวแพทย์สามารถสั่งดำเนินการกับสัตว์ป่วยหรือสงสัยว่าป่วยหรือสงสัยว่าเป็นพาหะของโรคระบาดได้ทันที
หากต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ โทร. 063-2256888 –สำนักข่าวไทย