กรุงเทพฯ 10 เม.ย.-ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนยกฟ้อง “ครูแขก” แนวร่วม นปช. คดีครอบครองระเบิดสมานเมตตาแมนชั่น ทนายเผยเตรียมฟ้องกลับ สตช.
ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.อัมพร ใจก้อน หรือครูแขก อายุ 56 ปี ชาวเชียงใหม่ ผู้ชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นจำเลย ในความผิดฐานมีวัตถุระเบิดชนิดแสวงเครื่อง และกระสุนปืนไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต
กรณีระหว่างต้นเดือนมิถุนายน 2553-5 ต.ค.2553 จำเลยกับพวกซึ่งเป็นแนวร่วม นปช. หรือกลุ่มคนเสื้อแดง มีเจตนาร่วมกันมีวัตถุระเบิด ประกอบด้วยวัตถุระเบิดชนิดแสวงเครื่อง จำนวน 5 ลูก (ถัง) ที่ประกอบเป็นวัตถุระเบิดแสวงเครื่องโดยใช้วงจรตั้งเวลา 1 สัปดาห์ ประกอบกับวัตถุระเบิดแรงต่ำ (Low Explsive) ชนิดดินเทาและยูเรีย น้ำหนักประมาณ 20 กิโลกรัม ซึ่งเป็นวัตถุระเบิดหลักบรรจุไว้ในถังดับเพลิง และถังน้ำยาแอร์ และมีอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ไว้ในครองครองได้ และมีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ประกอบด้วย ปืนเล็กกล (AK47) ขนาด 7.62 มม. RUSSIAN เลขประจำปืน 601098 จำนวน 1 กระบอก และเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวอีกจำนวน 129 นัด เหตุเกิดที่สมานเมตตาแมนชั่น ต.โสนลอย อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ชั้นพิจารณาจำเลยให้การปฏิเสธ ขอต่อสู้คดี ซึ่งระหว่างการพิจารณาได้รับการปล่อยชั่วคราว โดยศาลตีราคาประกัน 200,000 บาท
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้แม้ศาลอาญาจะให้ประกันตัว แต่ น.ส.อัมพร เคยถูกจำคุกระหว่างการพิจารณาคดีครอบครองระเบิดอีกสำนวนหนึ่งที่ศาลจังหวัดมีนบุรี กรณีเมื่อช่วงค่ำวันที่ 29 มี.ค.2557 เกิดเหตุระเบิดที่บริเวณลานดินกว้างบริเวณ ซ.ราษฎร์อุทิศ 25-27 แขวงแสนแสบ เขตมีนบุรี กทม. ซึ่งต่อมาศาลจังหวัดมีนบุรีพิพากษาเมื่อวันที่ 7 ก.ย.2560 พิพากษายกฟ้อง น.ส.อัมพร จึงได้รับการปล่อยตัว
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย พิพากษายืนยกฟ้อง
ภายหลังศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น น.ส.อัมพร มีสีหน้ายิ้มแย้ม พร้อมเปิดเผยว่าจะไปทำบุญช่วงวันสงกรานต์ต่อไป และก่อนหน้านี้ในช่วงที่ถูกจำคุกนั้น หลังได้รับการปล่อยตัวกลับพบว่าทรัพย์สินในบ้านหลายชิ้นสูญหายไปด้วย
ขณะที่ น.ส.เบญจรัตน์ มีเทียน ทนายความของ น.ส.อัมพร เปิดเผยด้วยว่า สำหรับคดีที่ศาลจังหวัดมีนบุรีนั้น อัยการโจทก์ไม่ได้ยื่นอุทธรณ์ เป็นที่สิ้นสุดแล้ว ส่วนคดีวันนี้ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องเหมือนกัน จะเข้าข่ายคดีต้องห้ามฎีกา และเตรียมจะฟ้องกลับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กับพวกทั้งคดีอาญาและคดีแพ่งด้วย ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่มิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และใช้พยานหลักฐานเท็จ และคดีแพ่งชดใช้ค่าเสียหายระหว่างถูกจำคุก
สำหรับคดีนี้ที่ศาลอาญา ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 17 พ.ย.2559 พิพากษายกฟ้อง โดยให้เหตุผลว่าฝ่ายโจทก์มีนายตำรวจ 2 ราย เป็นพยานโจทก์เบิกความเกี่ยวกับข้อเท็จจริงว่า เมื่อช่วงปี 2553 ได้เกิดเหตุที่สมานเมตตาแมนชั่นและมีผู้เสียชีวิต โดยโจทก์มีเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกนายเบิกความถึงการสอบสวน ด้วยการไปสังเกตการณ์ในที่เกิดเหตุ ขณะที่กองพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจ แต่โจทก์ไม่มีพยานที่รู้เห็นขณะเกิดเหตุ และก่อนเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ได้เห็นจำเลยได้ร่วมนำวัตถุระเบิดไปไว้ในห้องเกิดเหตุ ซึ่งข้อเท็จจริงที่ได้จากผู้ดูแลอพาร์ทเมนท์ก็ระบุเพียงว่าได้ดูแลอาคารโกมลอพาร์ทเม้นท์ที่ให้เช่าเท่านั้น แต่ไม่ได้ดูแลอาคารสมานเมตตาแมนชั่น พยานโจทก์ที่นำสืบมาจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ ประกอบกับจำเลยให้การปฏิเสธมาโดยตลอด ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดจริงตามโจทก์ฟ้อง .-สำนักข่าวไทย