นนทบุรี 22 ก.พ. – อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเผยกองทุนเอฟทีเอพลิกชีวิตเกษตรกรผู้ผลิตชาวาวีสำเร็จ โชว์ผลงานช่วยเหลือดันราคาพุ่งจากต่ำสุดกิโลกรัมละ 30 บาท ไปถึงสูงสุด 3,000 บาท เพิ่มขึ้น 100 เท่า แถมส่งออกไปเจาะตลาดจีน ซึ่งเป็นเจ้าแห่งชาโลกได้สำเร็จ
นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ ได้เดินทางไปติดตามผลความสำเร็จของโครงการช่วยเหลือเพื่อการปรับตัวของภาคการผลิตและภาคบริการที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า (กองทุนเอฟทีเอ) ที่ให้ได้ให้ความช่วยเหลือกลุ่มวิสาหกิจชุมชมผู้ผลิตชาวาวี ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ตามนโยบายนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้สั่งการให้เน้นการลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการช่วยเหลือเกษตรกร ผู้ผลิตสินค้าชุมชน ผู้ประกอบการท้องถิ่น พบว่าหลังจากกองทุนเอฟทีเอช่วยเหลือตั้งแต่ปี 2552 จนถึงปัจจุบัน กลุ่มดังกล่าวมีการเติบโตมาโดยตลอดและสามารถส่งออกชาอินทรีย์ไปจำหน่ายที่ประเทศจีนและยังได้รับความนิยมเป็นที่ต้องการของตลาดจีนอย่างมาก ทั้ง ๆ ที่จีนเป็นผู้ผลิตชารายใหญ่ของโลก
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่กรมฯ จะช่วยเหลือด้วยเงินกองทุนเอฟทีเอราคาชาอบแห้งอยู่ในระดับต่ำมาก ไม่สามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการในพื้นที่ได้ โดยราคาชาอบแห้งขณะนั้นกิโลกรัมละ 30-40 บาทเท่านั้น แต่หลังจากกองทุนเอฟทีเอให้ความช่วยเหลือ ทำให้เกษตรกรและผู้ประกอบการในพื้นที่มีรายได้จากการปลูกและจำหน่ายชาเพิ่มขึ้นอย่างมาก ปัจจุบันราคาจำหน่ายชาอบแห้งเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 10 เท่าไปจนถึง 100 เท่า จากราคาตอนเริ่มแรก แยกเป็นยอดชากิโลกรัม (กก.) ละไม่ต่ำกว่า 3,000 บาท ยอดชาติดใบ 1 กก. 2,000-2,500 บาท และยอดชาติดใบ 2 ใบ กก.ประมาณ 350-500 บาท
ทั้งนี้ กลุ่มผู้ประกอบการในพื้นที่ยังสามารถขยายธุรกิจสร้างโรงอบใบชาด้วยเครื่องจักรที่นำเข้าจากต่างประเทศโดยเครื่องจักรสำหรับอบใบชาดังกล่าวแต่ละเครื่องมีมูลค่าถึง 2-3 ล้านบาท และที่สำคัญชุมชนยังมีรายได้จากการจำหน่ายชาและการส่งออกชาปีละเป็นร้อยล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าความช่วยเหลือจากกองทุนเอฟทีเอสามารถช่วยให้เกษตรกรในพื้นที่ลืมตาอ้าปากและเติบโตได้อย่างคาดไม่ถึง
สำหรับจุดเด่นสำคัญของชาวาวี นอกจากเป็นชาอินทรีย์แล้ว พื้นที่ดอยวาวียังเป็นแหล่งปลูกชา “อัสสัม” คุณภาพดี โดยพื้นที่ดังกล่าวมีต้นชาอัสสัมที่มีอายุมากกว่าร้อยปี และมีบางต้นอายุถึงหนึ่งพันปี แต่ที่โดดเด่นที่สุดที่พื้นที่อื่นไม่มี คือ บริเวณนี้มีน้ำใต้ดินที่เป็นน้ำแร่คุณภาพสูง ส่งผลให้ชาอัสสัมที่ผลิตได้มีคุณภาพสูงมาก จากนั้นพ่อค้าชาชาวจีนได้เก็บตัวอย่างใบชาสดและชาอบแห้งไปวิเคราะห์ถึงคุณภาพ และได้ข้อสรุปว่าชาวาวีเป็นยอดชาที่มีคุณภาพมากที่สุดเท่าที่เคยพบมา ทำให้เป็นที่ต้องการของตลาดจีนเป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมโครงการฯ 124 คน จากชุมชนผู้ผลิตชาคุณภาพปลอดภัยดอยวาวี อำเภอแม่สรวย และสหกรณ์สวนชาดอยตุง อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย และได้รับการรับรองการผลิตพืชอินทรีย์ (Organic Thailand) 26 ราย รวมพื้นที่ปลูก 232 ไร่ และการรับรองการผลิตพืชอินทรีย์สหภาพยุโรป (อียู)กลุ่มเกษตรกร 66 ราย รวมพื้นที่ปลูกชา 2,702 ไร่เป็นต้น.-สำนักข่าวไทย