รร.ดุสิตฯ 10 ต.ค. – ไทยประสบความสำเร็จรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้ากับอิหร่านอย่างเป็นรูปธรรม เร่งสร้างความมั่นคงทางอาหารและพลังงาน ตั้งเป้าการค้าร่วมกัน 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 64
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ระดับรัฐมนตรีระหว่างไทยกับอิหร่าน ครั้งที่ 1 ว่า ไทยและอิหร่านเป็นประเทศที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ โดยไทยมีความมั่นคงด้านอาหารและเป็นประตูสู่ตลาด CLMV และอาเซียนให้กับอิหร่าน ขณะที่อิหร่านสามารถเป็นความมั่นคงด้านพลังงานและเป็นประตูสู่ตลาดประเทศเพื่อนบ้านและภูมิภาค CIS ซึ่งไม่มีทางออกทะเลและมีประชากรกว่า 300 ล้านคน
นางอภิรดี กล่าวว่า ทั้ง 2 ฝ่ายได้หารือถึงแนวทางกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าให้มีเป้าหมายการค้าร่วมกันให้ถึง 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2564 และยังตกลงจะให้มีการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำความตกลงสิทธิพิเศษทางการค้า (PTA) เพื่อเร่งเปิดตลาดสินค้าระหว่างกัน ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดการขยายการค้า การลงทุน และความร่วมมือเศรษฐกิจระหว่างกันอีกด้วย โดยคาดว่าการศึกษาดังกล่าวจะเสร็จภายในกลางปี 2560 นอกจากนี้ 2 ฝ่ายจะร่วมกันสนับสนุนกิจกรรมทางการค้าและความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนของ 2 ประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
สำหรับการเปิดตลาดสินค้าเกษตรโดยเฉพาะข้าว อิหร่านพร้อมที่จะเร่งรัดการดำเนินการตรวจสอบมาตรฐานข้าวไทย เพื่อให้ไทยสามารถส่งออกข้าวไปยังอิหร่านโดยเร็วที่สุด โดยไทยตั้งเป้าที่จะขยายการส่งออกข้าวไปยังอิหร่านให้ถึง 700,000 ตันต่อปี เหมือนช่วงก่อนอิหร่านโดนมาตรการคว่ำบาตร นอกจากนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายยังแสดงความสนใจที่จะขยายสินค้าเกษตรระหว่างกัน โดยสินค้าที่อิหร่านมีความต้องการนำเข้าและเป็นสินค้าที่ไทยมีศักยภาพ เช่น มันสำปะหลัง น้ำมันปาล์ม ผลไม้เมืองร้อน อาหารทะเล ยางพารา เป็นต้น ขณะที่อิหร่านต้องการส่งออกถั่วพิตาชิโอและฟิกซ์มาไทย
นอกจากนี้ ไทยพร้อมที่จะนำเข้าน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติจากอิหร่าน ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของโลก รวมถึงผลิตภัณฑ์พลังงานอื่น ๆ อาทิ น้ำมันดีเซล น้ำมันเชื้อเพลิง รวมทั้งประสงค์เข้าไปลงทุนในธุรกิจพลังงานร่วมกับอิหร่านและต้องการพัฒนาความร่วมมือในพลังงานทางเลือกกับอิหร่าน ทั้งนี้ ทั้ง 2 ประเทศจะรื้อฟื้นความร่วมมือทางด้านพลังงานหลังจากมีการลงนามตั้งแต่ปี 2547 โดยไทยพร้อมเดินหน้าเป็นเจ้าภาพการประชุมคณะทำงานร่วมด้านพลังงานต้นปีหน้า เพื่อหารือและส่งเสริมภาคพลังงานระหว่างกันโดยเฉพาะ โดยการประชุม JTC ครั้งนี้ อิหร่านต้องการให้มีความร่วมมือและการลงทุนจากไทย ในสาขาที่ไทยมีศักยภาพ เช่น ยานยนต์และชิ้นส่วน อาหารแปรรูป สิ่งทอ และอัญมณี เป็นต้น นอกจากนี้ ทั้ง2 ฝ่ายจะพัฒนาความร่วมมือระหว่างกันทางด้านมาตรฐานฮาลาลและส่งเสริมการท่องเที่ยว และยังได้ร่วมกันหารือถึงแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนของกลไกการชำระเงินในการทำการค้ากับอิหร่าน เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศอีกด้วย
นางอภิรดี กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกเหนือจากความสำเร็จของการประชุม JTC ในครั้งนี้แล้ว ยังมีการดำเนินกิจกรรมการจับคู่ทางธุรกิจระหว่างเอกชนอิหร่านและเอกชนไทย กว่า 100 ราย รวมทั้งการหารือทวิภาคีระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เหมืองแร่ และการค้าอิหร่าน กับบริษัทชั้นนำของไทย ที่มีศักยภาพที่จะขยายการค้าการลงทุนไปยังอิหร่านอีกด้วย ซึ่งคาดว่าผลของกิจกรรมดังกล่าว จะช่วยส่งเสริมให้การค้าการลงทุนระหว่างไทยกับอิหร่านเติบโตได้อีกมาก
ทั้งนี้ ปัจจุบันอิหร่านเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญอันดับ 9 ของไทยในภูมิภาคตะวันออกกลาง ปี 2558 การค้า 2 ฝ่ายมีมูลค่า 310 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยเป็นฝ่ายได้ดุลการค้า อิหร่านเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคตะวันออกกลางที่มั่งคั่งด้วยแหล่งพลังงานและมีศักยภาพในการเป็นฐานกระจายสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านและภูมิภาค CIS ซึ่งไม่มีทางออกทะเล ปัจจุบัน อิหร่านมีการจัดทำ PTA แล้วกับปากีสถานและตุรกี และอยู่ระหว่างการหารือจัดทำ PTA กับจีน อินเดีย และยูเรเซีย (เบลารุส คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน อาร์มีเนีย และรัสเซีย).-สำนักข่าวไทย