กรุงเทพฯ 15 ธ.ค.-“สมชัย ศรีสุทธิยากร” วิจารณ์เลือก 2 กกต.สายศาลฎีกา แนะถ้าทำผิดให้แก้ไข อย่าปล่อยให้บันทึกในประวัติศาสตร์
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โพสต์เฟซบุ๊คถึงการคัดเลือกบุคคลมาเป็น กกต.จากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา มีเนื้อหาระบุว่าจะพิจารณาอย่างไร จึงรู้ว่าเป็นการลงคะแนนโดยลับหรือเปิดเผย สังคมไทยกำลังเป็นสังคมที่ต้องฟังหูไว้หู เพราะผู้เป็นหลักในบ้านเมืองมีการเอาตรรกะเหตุผลที่ดูแปลก ๆ มาให้คนคล้อยตาม เช่น เป็นศาลย่อมรู้กฎหมายดี ย่อมไม่ทำอะไรที่ผิดกฎหมาย ระดับที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาคงไม่ปล่อยให้มีอะไรพลาด ศาลย่อมออกระเบียบข้อบังคับการประชุมได้เอง เมื่อเป็นไปตามระเบียบย่อมถูกต้องแล้ว กาบัตรเดินไปใส่หีบที่ตั้งอยู่กลางห้องโดยเปิดเผย หรือการที่คนข้าง ๆ ก็สามารถเหลือบเห็นการลงคะแนน ก็ถือว่าเป็นการลงคะแนนโดยเปิดเผยแล้ว จะเอาอะไรอีก ศาลฎีกาเป็นองค์กรตัดสินคดีความสูงสุดแล้ว หากศาลมีความเห็นอะไร ถือเป็นข้อยุติ คนนอก กกต. สนช. หรือ แม้แต่ศาลรัฐธรรมนูญ ห้ามไปยุ่งเกี่ยว พูดมากอาจถูกข้อหาหมิ่นศาล
นายสมชัย ระบุด้วยว่า จริงหรือว่าเป็นศาลต้องทำอะไรไม่ผิด จริงหรือที่สามารถออกระเบียบที่อยู่เหนือกฎหมายได้ และจริงหรือที่การพิจารณาของศาลถือเป็นที่สุด องค์กรอื่นไม่สามารถโต้แย้ง หากเป็นเรื่องการตัดสินคดีความ เป็นเรื่องที่ต้องยอมรับว่าศาลฎีกาคือความยุติธรรมในขั้นสุดท้ายที่ต้องถือเป็นที่ยุติ ไม่อาจโต้แย้ง และไม่อาจวิพากษ์วิจารณ์ได้ หากวิจารณ์อาจถูกข้อหาหมิ่นศาลได้ แต่หากเป็นประเด็นบริหาร หรือสิ่งที่ศาลถูกกำหนดให้ทำตามกฎหมายอื่น ก็ต้องยึดถือสิ่งที่เป็นข้อกำหนดในกฎหมายดังกล่าว จะยึดถือวิธีการปฏิบัติที่เป็นมาในอดีต หรือมากำหนดข้อบังคับเองที่ขัดกับกฎหมายน่าจะไม่ได้
นายสมชัย ระบุอีกว่า เมื่อกฎหมายใหม่กำหนดให้วิธีการลงคะแนนเลือก กกต. 2 คน จากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกากำหนดให้เป็นการลงคะแนนโดยเปิดเผย การหาข้อยุติว่าเปิดเผยหรือไม่ คงไม่ใช่ไปย้อนถามว่าศาลคิดว่าเปิดเผยแล้วหรือไม่แล้วจบกัน แต่ควรมีหลักในการเทียบเคียงระหว่างวิธีการลงคะแนนที่ศาลปฏิบัติกับสิ่งที่เป็นมาตรฐาน หรือคำจำกัดความของคำว่า “ลงคะแนนโดยเปิดเผย” ซึ่งทำได้หลายวิธี เช่น เทียบเคียงกับรัฐธรรมนูญ ที่ระบุว่า การเลือกตั้งของประชาชนต้องลงคะแนนด้วยวิธีการลงคะแนนโดยตรงและลับ ซึ่งเป็นวิธีการลงคะแนนโดยกาในบัตรและนำไปหย่อนในหีบ ที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าลงคะแนนให้แก่ใคร หรือเทียบเคียงกับข้อบังคับการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่กำหนดว่าการลงคะแนนโดยลับหมายถึงการกาในบัตรและนำไปใส่หีบ ที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าใครลงมติอย่างไร และการลงคะแนนโดยเปิดเผยหมายถึงการใช้บัตรเสียบที่สามารถตรวจสอบได้ว่าใครเลือกใคร หรือการยกมือ หรือขานชื่อเพื่อสอบถามเป็นรายบุคคล
นายสมชัย ระบุด้วยว่า เจตนารมณ์ หรือ ความคิดเห็นของกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ในการร่างมาตรา 12 วรรคสาม ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย กกต. ที่กำหนดให้การสรรหาและคัดเลือก กกต. ต้องใช้วิธีการลงคะแนนโดยเปิดเผย โดยอาจดูจากรายงานการประชุมที่บันทึกเจตนารมณ์ หรือสอบถามไปยังประธาน กรธ.เป็นลายลักษณ์อักษรโดยตรง หากผลของการเทียบเคียง ปรากฏว่ามีความใกล้เคียงไปในทางใด ก็ควรเป็นการสรุปว่าการลงคะแนนของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ที่ใช้วิธีการกาในบัตรและนำไปหย่อนในหีบ โดยไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าใครเลือกใคร เป็นการลงคะแนนลับหรือเปิดเผย
“ไม่ใช่บอกเพียงแค่ว่าหีบบัตรตั้งอยู่กลางห้อง เห็นได้ทุกคนเปิดเผยแล้ว หรือ สามารถเหลือบดูการลงคะแนนของเพื่อนที่อยู่ข้าง ๆ ได้เปิดเผยแล้ว หากผิดก็ดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้อง อย่าอธิบายให้กลายเป็นเรื่องที่ต้องบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์เลย ยังอยู่กันอีกนาน” นายสมชัย ระบุ.-สำนักข่าวไทย