จีน 14 พ.ย.-เดี๋ยวนี้หากคุณข้ามถนนในเมืองจีนโอกาสที่จะถูกบันทึกภาพจากกล้องวิดีโอกว่า 10 ล้านตัวเป็นไปได้มาก เนื่องจากรัฐบาลกำลังสร้างเครือข่ายเก็บข้อมูลประชาชนที่ใหญ่ที่สุดในโลก
นายซู ชีเฮง วัย 27 ปี ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท เซนส์ไทม์ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการจดจำใบหน้ากำลังจะทำสิ่งนี้ให้เป็นความจริง ซู เป็นคนหนุ่มยุคใหม่ที่หาโอกาสจากเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าและตลาดกล้องสอดแนมที่กว้างใหญ่ของจีน หากบริษัทของเขาระดมทุนสำเร็จก็จะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ ลูกค้าที่สำคัญที่สุดของเซนส์ไทมส์ น่าจะเป็นรัฐบาลจีนเนื่องจากมีนโยบายสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีโดยเฉพาะเทคโนโลยี่ในการจดจำใบหน้าผู้คน แม้เทคโนโลยีดังกล่าวจะอาจรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของผู้คนในส่วนอื่นๆ ของโลก แต่ในเมืองจีนประชาชนยังสองจิตสองใจกับการถูกจับตามองด้วยกล้องวีดีโอ ศาสตราจารย์หวัง เชงจิน แห่งภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้าของมหาวิทยาลัยซิงหัว ผู้เชี่ยวชาญในเทคโนโลยีจดจำใบหน้ากล่าวว่า ในสังคมทุกวันนี้เรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวเป็นเรื่องสำคัญ แต่เมื่อทั้งสองสิ่งนี้เกิดความขัดแย้งกัน เชื่อได้ว่า สังคมต้องการความปลอดภัยมากกว่า ด้วยกล้องวงจรปิดที่มีอยู่ทั่วไป บริษัทอย่างคลาวด์วอล์ค ที่มีตำรวจเป็นลูกค้ารายใหญ่ก็พัฒนาเทคโนโลยีการคาดการณ์การก่ออาชญากรรมขึ้นมา อีกทั้งรัฐบาลก็กำลังสร้างฐานข้อมูลอันมโหฬารและอืรงอานุภาพขึ้นมา เสร็จสิ้นเมื่อไรจะสามารถระบุประชาชนได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที โดยอาศัยกล้องวงจรปิดที่มีอยู่ทั่วไป สำหรับเทคโนโลยีการจดจำใบหน้าที่ยังไม่สามารถระบุประชาชนได้นั้น ก็จะมีเทคโนโลยีอื่นๆ มาเติมเต็มช่องว่างนี้ นอกจากนั้นรัฐบาลจีนยังมีการสร้างฐานข้อมูลเสียงเพี่อระบุตัวประชาชนได้จากเสียงการพูดคุย เมื่อปี 2015 ตำรวจจีนได้เริ่มทดลองเก็บตัวอย่างเสียงกว่า 7 หมื่นตัวอย่างในมณฑลอันฮุย นอกจากนั้นยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีการจดจำท่าเดินซึ่งขณะนี้ได้มีการเริ่มทดลองใช้กับนักโทษแล้ว อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดก็คือมนุษย์ หากมีการนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในทางที่ผิด ดังนั้นความเชี่ยวชาญของมนุษย์ในการควบคุมเทคโนโลยีจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะลำพังเทคโนโลยีอย่างเดียวนั้น ไม่สามารถแก้ปัญหาใดๆ ได้.-สำนักข่าวไทย