กรุงเทพฯ 21 มี.ค. – “กัน จอมพลัง” เดือด! ประกาศล่าแก๊งดอลลาร์ปลอม หลังถูกอ้างชื่อโยง “ดิว อริสรา” ด้าน “เท็ดดี้” รับแล้วอ้างชื่อ “กัน-ภรรยา” เพราะถูกกดดัน
จากกรณี กัน จอมพลัง โพสต์ว่า “เงินดอลลาร์จำนวนมากในโรงแรมหรูที่ ด อ ส ร เปิดให้พวกหลายคน หนึ่งในนั้นอ้างปล่อยอาวุธสงคราม ปล่อยดอลลาร์ เอาชื่อตนไปอ้างกับคนไปทั่วทั้งที่ไม่รู้จักถ้า ขยายผลไปน่าเจอขบวนการแบงก์ปลอม”
ล่าสุด กัน จอมพลัง โพสต์อีกว่า “มี 2 คนติดต่อมาหาตน 1 การ์ด (มนัส) ที่ถูกแจ้งความว่าขังและทำร้ายคนในห้องที่มีแบงก์ดอลลาร์ปลอม กับ 2 คนที่อ้างชื่อตน (เท็ดดี้) และจะขอมาอธิบาย ตนพร้อมรับฟัง เจอกัน 10.20 น.”
พอถึงเวลานัดหมาย เวลา 10.20 น. กัน จอมพลัง บอกว่าทั้ง 2 ฝั่งพูดข้อมูลไม่ตรงกัน ฝั่งหนึ่ง(เท็ดดี้) บอกว่ามีการกักขังและทำร้าย ส่วนอีกฝั่ง (มนัส) บอกว่าไม่ได้กักขังและไม่มีการทำร้ายร่างกายกัน ส่วนตัวไม่ค่อยให้ความสนใจตรงนั้น แต่สนใจว่าเรื่องดังกล่าวมันเกี่ยวข้องกับขบวนการขายธนบัตรดอลลาร์ปลอม และมีหนึ่งในกลุ่มนี้มีการอ้างชื่อของตนและภรรยา อีกทั้งยังบอกว่าตนเกี่ยวข้องกับการค้าอาวุธเถื่อน อาวุธสงคราม จึงยอมไม่ได้
หลังจากได้โพสต์เรื่องราวออกไป “เท็ดดี้” ซึ่งอ้างชื่อตน ได้ติดต่อมาอธิบายต่างๆ นานา เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ วันนี้จึงให้โอกาสเท็ดดี้ออกมาอธิบายกับสังคมด้วย ส่วนเรื่องของภรรยา ยอมรับว่าเคยพูดคุยกับ “ดิว อริสรา”เรื่องนี้ เนื่องจากทางดิวโทรศัพท์มาสอบถามภรรยาหลังจากเท็ดดี้อ้างว่ารู้จักกับภรรยา แต่ตนไม่เกี่ยวข้องกับการค้าอาวุธเถื่อน อาวุธสงคราม ดิวจึงโทรศัพท์มาพูดคุยกับภรรยาของตนว่ามีคนชื่อเท็ดดี้กล่าวอ้างแบบนี้ ยืนยันว่าตนไม่ได้สนิทหรือรู้จักกับดิวเป็นการส่วนตัว รวมถึง “เซป” สามีของดิว ด้วย
ด้านเท็ดดี้ หรือจ๋อม ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์วันแลกเปลี่ยนเงินแล้วมารู้ทีหลังว่าเป็นดอลลาร์ปลอม เปิดใจต่อหน้าสื่อมวลชนและกัน จอมพลัง ถึงสาเหตุที่อ้างชื่อกันและภรรยา เนื่องจากตอนนั้นทางดิวกดดันให้หาเงินมาชดใช้คืนตนไม่รู้จะทำอย่างไรจึงติดต่อไปหา “คุณหมิว” ซึ่งเป็นภรรยาของกัน จอมพลัง เพราะเคยรู้จักกันมาก่อน เพื่อขอให้ช่วยคุยกับดิว กรณีพูดถึงเรื่องค้าอาวุธเถื่อนนั้น ตนได้ยินมาอีกทีว่ากัน จอมพลัง และภรรยา สามารถเคลียร์ปัญหาเรื่องค้าอาวุธเถื่อนได้ และเป็นการพูดคุยสนุกสนาน ไม่ได้จริงจัง
ส่วนเรื่องแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์ ยอมรับว่าตนรู้จักกับลูกค้าชายชาวจีนชื่อชาน ที่ต้องการนำเงินจำนวน 3 ล้านดอลลาร์ มาแลกเปลี่ยนเป็นเงินไทย ตนเห็นว่ามีโปรเจกต์งานนี้มานานเป็นปีแล้ว แต่ไม่มีใครรับทำ กระทั่งได้พูดคุยกับ“เกด” ซึ่งเป็นนายหน้ารับขายฝากที่ดิน บอกว่ามีช่องทางและสามารถทำงานนี้ได้ จึงตอบตกลงกับชาวจีนที่ชื่อชาน จนนำไปสู่วันแลกเปลี่ยนเงิน ส่วนตัวยอมรับว่ามันแปลกๆ ตั้งแต่แรก เพราะเงินดอลลาร์มูลค่าถึง 99 ล้านบาท แต่กลับนำมาแลกกับเงินไทยเพียง 3,200,000 บาท พร้อมยอมรับว่ารู้อยู่ลึกๆ ว่าเป็นเงินดอลลาร์เทาจากการทำผิดกฎหมาย แต่ทางเกดอ้างว่าสามารถทำได้ จึงตอบตกลงกับชายชาวจีน แต่ปรากฏว่าได้แบงก์ดอลลาร์ปลอมกลับมาแทน
ขณะที่นายโอ๊ต หรือมนัส การ์ดที่ดิว อริสรา ว่าจ้างให้รักษาความปลอดภัย 5 คน ประกอบด้วย “เท็ดดี้ เกด ชิน บอส และแมน” ในการนำเงิน 3.2 ล้านบาท ไปแลกกับเงิน 3 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 99 ล้านบาท เล่าว่า วันที่ไปรับเงินมีการ์ดไปดูแล 4-5คน โดยตนได้ค่าจ้างเป็นรายเดือนจาก ดิว อริสรา ส่วนการ์ดที่เหลือได้รับเงินรายวันๆ ละ 2,000 บาท เมื่อการทำธุรกรรมล้มเหลว การ์ดที่เหลือก็แยกย้ายกลับ เหลือเพียงตนที่ได้รับมอบหมายให้เคลียร์เรื่องเงิน 3.2 ล้านบาท กับทั้ง 5 คน
ในการเคลียร์เงิน ดิว อริสรา เปิดห้องพักโรงแรมให้ทั้ง 5 คนอยู่รวม 5 วัน ตกวันละกว่า 20,000 บาท ยืนยันว่าเป็นลักษณะของการอยู่ร่วมกันเพื่อพูดคุยหาทางออกเรื่องเงิน ไม่ได้มีการกักขังข่มขู่ ทุกคนมีอิสระใช้ชีวิตส่วนตัว สามารถออกจากห้องและกลับบ้านได้ตามปกติ อีกทั้งระหว่างที่อยู่ด้วยกันก็มีสังสรรค์ปาร์ตี้ บางครั้งตนต้องรับบทเด็กเอนเตอร์เทนต์ให้คนกลุ่มนี้ด้วย ซึ่งตนมีหลักฐานเป็นคลิปวิดีโอขณะชนแก้วแชมเปญโดยใช้แบงก์พัน พันรอบแก้ว และมีเสียงเชียร์ให้ชนแก้วด้วย
กรณีกล่าวอ้างว่าตนทำร้ายร่างกายหนึ่งในบุคคลที่อยู่ในห้อง คือชิน ซึ่งแอบโทรหาเพื่อนชื่อแบงค์ ซึ่งรู้จักกับแมน และแมนรายงานดิว ดิวบอกแล้วแต่จะจัดการ ตามข่าว ยอมรับว่าระหว่างอยู่ด้วยกันตนทะเลาะกับคนชื่อชิน เนื่องจากไม่พอใจเรื่องคำพูดจนชกต่อยกันบนรถ ขอยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับการเคลียร์เงินหรือทวงหนี้ หลังจากทะเลาะกันได้เคลียร์ใจกันแล้วกลับมากินข้าวพูดคุยกันปกติ
กรณีครอบครัวคนชื่อเกด แจ้งความดำเนินคดีตน ฐานกักขังหน่วงเหนี่ยวและกรรโชกทรัพย์ ก็เกิดจากความเข้าใจผิด โดยขณะอยู่ด้วยกันมีอยู่วันหนึ่งตน เกด เท็ดดี้ ชิน ลงไปซื้อเบียร์แล้วเจอกับตำรวจ ตำรวจจึงเข้ามาสอบถามแล้วพาไป สน. เพื่อสอบปากคำ พอตำรวจสอบถามทุกคนก็บอกว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดจึงปล่อยตัวออกมา ซึ่งหากตนกักขังจริงคงถูกจับไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว
หลังเกิดเหตุตนได้พูดคุยกับ ดิว อริสร เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งทางดิวได้ขอโทษตนที่ทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น และตนไม่ได้ติดใจอะไร เพราะถือเป็นหน้าที่ และตอนนี้ตนได้ลาออกจากการทำงานให้กับ ดิว อริสรา เรียบร้อยแล้ว.-สำนักข่าวไทย