รัฐสภา 18 มี.ค.-สว.อังคณา เสนอญัตติขอวุฒิสภา ถกผลกระทบและปัญหาจากกรณีการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีน ชี้กระบวนการเกิดข้อกังขา ถูกสังคมโลกตั้งคำถามการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรง
นางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา เปิดเผยว่าในการประชุมวุฒิสภาวันนี้ (18 มี.ค.) ได้เสนอญัตติให้วุฒิสภาพิจารณาปัญหาผลกระทบจากกรณีการส่งตัวชาวอุยกูร์ กลับไปยังประเทศจีน ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากรัฐบาลนานาชาติ หน่วยงานระหว่างประเทศ และองค์กรสิทธิมนุษยชน เพื่อไม่ให้ชาวอุยกูร์ เหล่านั้นต้องเผชิญกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง เนื่องจากสถานการณ์ในซินเจียง ยังเป็นประเด็นที่สร้างความตึงเครียดระหว่างจีนกับชาติตะวันตก ซึ่งยังไม่มีมีแนวโน้มว่าจะได้รับการแก้ไขในอนาคตอันใกล้ การกระทำของรัฐบาลไทยจึงถูกมองว่าเป็นการกระทำอันละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานและขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนสำคัญได้แก่ การไม่ผลักบุคคลไปสู่อันตราย การขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศและพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนของไทยอย่างร้ายแรง ทั้งพันธกรณีตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง และตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน และการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี ซึ่งยังกระทบต่อสถานะของประเทศไทยในประชาคมโลก รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกลุ่มประเทศมุสลิม ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างไทยกับประเทศตะวันตก ที่ให้ความสำคัญอย่างมากกับการเคารพสิทธิมนุษยชนในการดำเนินการนโยบายการต่างประเทศ
นางอังคณา ยังระบุว่านอกจากนี้อาจมีผลต่อการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของไทย ในสายตานักลงทุนต่างชาติ ความคลุมเครือถึงเหตุผลในการดำเนินการของรัฐบาล ตลอดจนข้อกังขาเกี่ยวกับความสมัครใจของชาวอุยกูร์ ที่ถูกส่งตัวกลับ ส่งผลให้หลายประเทศมีปฏิกิริยาโต้กลับ ทั้งจากกรณีรัฐสภายุโรปมีมติประณามไทย และเรียกร้องให้คณะกรรมาธิการ ยุโรปใช้การเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี หรือ FTA กดดันประเทศไทยให้ปฏิรูปกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชน รวมถึงสหรัฐอเมริกาออกแถลงการณ์กำหนดข้อจำกัดเกี่ยวกับวีซ่าเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทยที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในปัจจุบันและอดีต ผู้ซึ่งรับผิดชอบหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการผลักดันชาวอุยกูร์ ออกจากประเทศไทย ซึ่งเรื่องนี้ส่งผลกระทบกับภาพลักษณ์ของไทยในสายตาประชาคมโลกเป็นอย่างมาก ดังนั้นสมควรที่วุฒิสภาจะหารือร่วมกันเพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาผลกระทบที่เกิดขึ้น ตลอดจนแสดงจุดยืนที่เหมาะสมในเวทีระหว่างประเทศ.-319.-สำนักข่าวไทย