5 มี.ค. – จับครบตามหมายจับ 10 คน แก๊งยิงนักศึกษาอุเทนถวายบาดเจ็บ ก่อนวันบลูเดย์ ทั้งหมดยังปากแข็งให้การภาคเสธ ตำรวจพบพฤติการณ์วางแผนครึ่งเดือน ถอดเสื้อมือยิง มีรอยแผลเป็นฟันเฟือง 4 อัน
พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) พร้อมด้วย พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. แถลงความคืบหน้าการสอบปากคำผู้ต้องหาที่เป็นแก๊งยิงนักศึกษาอุเทนถวาย ว่า เบื้องต้นตอนนี้สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ครบแล้วทั้ง 10 คน และได้นำตัวมาสอบปากคำที่กองบังคับการสืบสวนสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาลแล้ว เบื้องต้นทุกคนให้การภาคเสธ แต่มั่นใจว่าพยานหลักฐานที่มีสามารถเอาผิดได้แน่นอน เพราะก่อนการจับกุมได้มีการแจ้งให้ชุดจับกุมทุกนายรวบรวมพยานหลักฐานให้ชัดเจน หนาแน่น โดยพยานทุกชิ้นจะต้องรัดกุมและสามารถระบุตัวผู้ต้องหาได้อย่างชัดเจน เมื่อขึ้นสู้ศาลทุกคนต้องถูกลงโทษ ศาลไม่ยกฟ้อง และอีกอย่างมีหลักฐานชัดเจนว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุมีการเตรียมทุกอย่างตั้งแต่ก่อนก่อเหตุจนถึงหลังก่อเหตุ นอกจากนี้ยังมีการวางแผนนัดแนะคำให้การกับตำรวจเมื่อถูกจับกุมว่าจะต้องให้การอย่างไรบ้าง ในเคสนี้จะมีการขยายผลไปยังผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งผู้ร่วมขบวนการ ผู้รู้เห็น และให้การสนับสนุน ถ้ามีพยานหลักฐานถึงผู้ใดก็จะดำเนินการทั้งสิ้น
นอกจากนี้ยังมีผู้ต้องหาบางคนเคยมีประวัติอาชญากรรม นายธีรยุทธ หรือ ปอนด์ อายุ 22 ปี และ นายกิจชนะ หรือ บูม อายุ 22 ปี เคยถูกดำเนินคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด, นายเกียรติศักดิ์ หรือ โต อายุ 21 ปี เคยโดนดำเนินคดีเกี่ยวกับ พ.ร.บ.อาวุธปืน ซึ่งจากการเข้าตรวจค้น 19 จุดทั่วกรุงเทพฯ และจังหวัดสมุทรปราการ พบว่ามีเซฟเฮาส์ 2 แห่ง ที่ซอยนวมินทร์ 26 และซอยพัฒนาการ 50 พร้อมตรวจยึดของกลางเป็นรถจักรยานยนต์ 4 คัน, รถยนต์ 3 คัน, เสื้อผ้า, รองเท้า, หมวกกันน็อกที่สวมใส่ในวันก่อเหตุ และยังพบเรื่องกระสุนปืนอีกจำนวนหนึ่ง
พล.ต.ต.นพศิลป์ ยังได้เปิดเผยถึงแผนประทุษกรรมของกลุ่มผู้ก่อเหตุว่าได้มีการเตรียมการกันล่วงหน้าประมาณ 15 วัน เนื่องจากเป็นช่วงใกล้จะมีงานวันบลูเดย์ของอุเทนถวาย โดยในช่วงวันที่ 27-28 มกราคม 2568 พบว่ามีผู้ก่อเหตุได้ใช้รถจักรยานยนต์มาวนเวียนอยู่บริเวณละแวกจุดเกิดเหตุ มีคนชี้เป้าอยู่ตรงมาบุญครอง คนยิงอยู่ใต้สะพานหัวช้าง จนกระทั่งเวลาตี 1 ก็มีนักศึกษาอุเทนถวาย 2 ราย ขี่รถไปทางสะพานหัวช้าง ผู้ก่อเหตุที่ซุ่มรออยู่จึงออกมาทันที จึงเชื่อว่ามีผู้ที่ชี้เป้าให้อยู่บริเวณซอยจุฬา 12 โดยผู้ก่อเหตุได้ขี่รถตามเป้าหมายไปถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แต่ก่อเหตุไม่สำเร็จเพราะเป้าหมายรู้ตัว ผู้ก่อเหตุจึงขี่รถกลับมาเฝ้าหาเป้าหมายรายอื่นต่อไปจนถึงช่วงตี 2 ก่อนแยกย้ายกลับไป
ต่อมาวันที่ 29 มกราคม 2568 กลุ่มผู้ก่อเหตุ ได้ขี่รถวนเวียนหาเป้าหมายในพื้นที่ตั้งแต่ 18.30 น. และมีคนมาชี้เป้าเหมือนเดิม จนเวลา 22.54 น. พบว่าผู้ก่อเหตุที่ซุ่มอยู่ตรงสะพานหัวช้างมีการรับโทรศัพท์ เป็นจังหวะเดียวกับที่นักศึกษาอุเทนถวาย 16 คน เดินออกมาจากสถาบัน เมื่อผู้ก่อเหตุวางสายโทรศัพท์ก็ขี่รถออกมาทันที และก่อเหตุยิงตอน 22.55 น.
หลังก่อเหตุแล้ว กลุ่มผู้ก่อเหตุได้ใช้รถมาสด้าขับประกบรถมือยิงที่ขี่หลบหนีไปถึงจังหวัดสระบุรี แล้วไปทิ้งรถจักรยานยนต์คันก่อเหตุไว้ ก่อนจะรับมือยิงและคนขี่รถจักรยานยนต์กลับเข้ากรุงเทพฯ จากนั้น ได้เอารถกระบะอีกคัน ขับไปเอารถจักรยานยนต์ที่ทิ้งไว้ที่สระบุรีกลับมาที่กรุงเทพฯ โดยนำไปจอดทิ้งไว้ที่สถานีรถไฟฟ้าก่อนจะสีคนมารับไปอีกที
นอกจากนี้ยังพบว่าก่อนก่อเหตุได้มีการรวบรวมเงินกันประมาณ 15,000 บาท ไปซื้อรถจักรยานยนต์ที่จะใช้ก่อเหตุ แล้วเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2568 กลุ่มผู้ก่อเหตุได้เอารถกระบะไปขนรถจักรยานยนต์ เอาไปจอดไว้ที่อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา แล้วค่อยไปขี่เข้ากรุงเทพฯ มาก่อเหตุ โดยระหว่างการสอบปากคำ นายนุ มือปืน ได้เปิดเสื้อโชว์ให้เห็นถึงรอยฟันเฟืองจำนวน 4 อัน อยู่ที่บริเวณหัวไหล่ข้างซ้าย เชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์สื่อให้เห็นว่าเป็นนักเรียนช่างกล ซึ่งเป็นประเพณีรับน้องที่ทำกันมารุ่นต่อรุ่น. -420- สำนักข่าวไทย