เชียงราย 21 ม.ค. – ตำรวจเชียงราย แจ้งข้อหาคนขับรถกระบะหัวร้อนไล่ทำร้ายนักศึกษา พร้อมส่งรถกระบะไปให้ขนส่งตรวจ ด้านเจ้าตัวอ้างฉุนโดนด่าก่อน
ภาพเหตุการณ์ที่นายพัฒนศักดิ์ วัย 20 ปี นักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ถูกนายกฤษกร อายุ 41 ปี คนขับรถกระบะสีขาว ลงมือทำร้ายร่างกายด้วยการชกต่อยใบหน้าและลำตัว บริเวณถนนสนามบินเก่า ใกล้กับวิทยาลัยเทคนิคเชียงราย เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา
หลังเหตุการณ์นายพัฒนศักดิ์ได้โพสต์คลิปวิดีโอขณะถูกทำร้าย พร้อมระบุว่า “ขณะจอดรถตรงวงเวียนหอนาฬิกา เพื่อให้รถในวงเวียนไปก่อน กลับถูกคนขับรถกระบะที่ตามมาด้านหลังบีบแตรไล่ ชี้หน้าด่า ซ้ำยังขับรถตามมาเบียด เบิ้ลควันดำใส่ ยังขับรถปาดหน้าแล้วลงมาทำร้าย จนคิ้วแตก เลือดเต็มปาก แว่นหัก ล้มยังโดนซํ้าอีก แถมยังขู่ว่าจะฟ้องพ่อฟ้องแม่ และยังพยายามมาทำร้ายอีกรอบ แต่มีคนห้ามไว้” จนโลกออนไลน์พากันวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่เกิดขึ้นว่าเป็นการรังแกเด็ก
วันนี้ นายพัฒนศักดิ์ พร้อมด้วย น.ส.ภูตะวัน ผู้เสียหาย ออกมาชี้จุดเกิดเหตุและเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ระบุว่าขณะตนไปรับแฟนและกำลังจะเดินทางกลับบ้าน เมื่อถึงบริเวณวงเวียนหอนาฬิกาก็เกิดเหตุการณ์ตามที่ได้โพสต์ไว้ จากนั้นผู้ก่อเหตุขับรถตาม ตนได้ให้แฟนเตรียมกล้องไว้บันทึกภาพ เบื้องต้นตนไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลแล้ว และแจ้งความกับตำรวจ สภ.เมืองเชียงราย เพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุ ซึ่งตำรวจบอกว่าจะติดตามตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีให้เร็วที่สุด ตอนนี้ตนไม่กล้าไปเรียน กลัวเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก เนื่องจากที่เรียนและที่ทำงานเขาอยู่ไม่ห่างกันมาก เกรงว่าจะถูกมาหาเรื่องแล้วทำร้ายอีก
ล่าสุดฝ่ายสืบสวนเชิญตัวนายกฤษกร ผู้ก่อเหตุ ไปสอบปากคำที่ สภ.เมืองเชียงราย พร้อมนำรถยนต์ที่ใช้ในวันดังกล่าวมาตรวจสอบ สอบสวนเบื้องต้นนายกฤษกรให้การรับสารภาพว่าทำร้ายร่างกายเด็กเพราะอารมณ์ชั่ววูบจริง อ้างว่าถูกเด็กด่า ขณะที่จากการตรวจสอบรถกระบะพบว่าขาดต่อภาษีประจำปี และปิดบังแผ่นป้ายทะเบียน รวมถึงดัดแปลงท่อส่งเสียงดัง ซึ่งตำรวจได้ส่งรถไปตรวจสภาพเพิ่มที่สำนักงานขนส่งจังหวัดเชียงราย หากพบว่ามีควันดำเกินค่ามาตรฐานจะได้ดำเนินคดีเพิ่มอีกข้อกล่าวหา
ในส่วนการทำร้ายร้างกาย เจ้าหน้าที่กำลังอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานว่าเป็นการทำร้ายร่างกายในลักษณะใด ได้รับบาดเจ็บขนาดไหน เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาดำเนินคดี ซึ่งอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐาน หลังจากนี้จะมีการพิจารณาดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป.-สำนักข่าวไทย