เมืองทอง 21 ต.ค.- นายกฯ ขอคนไทยภูมิใจในพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช แนะใช้ความเพียรในการต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ ดังเช่นบทพระราชนิพนธ์พระมหาชนก ขณะเดียวกัน ย้ำเรื่องการจัดทำแผนการใช้งบประมาณ คำนึงถึงอนาคต ไม่ใช่เอาแผนเดิมมาของบประมาณ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมสัมมนาและมอบนโยบายการจัดทำงบประมาณ ในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพค เมืองทองธานี
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ช่วงเวลานี้ถือว่ามีความสำคัญ ที่ทุกคนจะทำงานถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ที่จะอยู่ในใจของทุกคนตราบนานเท่านาน และช่วงเวลาที่ผ่านมา ทุกคนร่วมแสดงความอาลัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งไม่เพียงแต่คนไทย แต่ยังรวมถึงต่างประเทศ
“อยากให้ระลึกถึงว่า พระองค์ไม่ได้ไปไหน ยังอยู่ในแผ่นดิน พื้นน้ำ และอากาศ ทรงวางรากฐานการพัฒนา และใช้หลักการทรงงานให้ทุกคนได้ปฎิบัติ เป็นที่ยอมรับของคนไทยและคนต่างชาติ โดยเฉพาะโครงการพระราชดำริ ที่ต่างชาติสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่คนไทยทุกคนควรภาคภูมิใจ ในบรรยากาศของความโศกเศร้า” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประเทศทุกวันนี้ อยู่ได้เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์ แม้จะมีการเปลี่ยนแปลง แต่จำต้องไม่ลืมสิ่งที่เป็นรากเหง้าของประเทศ ขณะเดียวกัน หากเจอคนที่ไม่ดี ขอให้ทุกคนช่วยกันอธิบาย ให้คนเหล่านี้กลับตัวเป็นคนดี โดยไม่สร้างความขัดแย้งในสังคม เหมือนบทพระราชนิพนธ์ พระมหาชนก ที่ใช้ความเพียรในการต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ ฝ่าฟันจนประสบความสำเร็จ
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงทำให้ประชาชนได้เห็นแล้วว่า การทำงานทุกเรื่อง ย่อมมีปัญหา แต่หากใช้ความเพียรพยายาม ทุกอย่างจะประสบความสำเร็จ” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับการพัฒนาประเทศ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับรัฐบาล หรือคนๆ เดียว แต่ขึ้นอยู่กับทุกคนที่ต้องร่วมมือกัน และเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกัน โดยให้อนาคตเป็นตัวกำหนด และมีแผน มีกฎหมายรองรับ ขณะนี้ประเทศอยู่ระหว่าง 2 ทางแยก คือ จะล้มเหลว หรือมีอนาคตที่รุ่งโรจน์ จึงอยู่ที่ทุกคนจะร่วมกันกำหนดทิศทางให้ชัดเจน ตามแผนยุทธศาสตร์ 20 ปี
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ส่วนการบริหารประเทศของรัฐบาล และการจัดทำงบประมาณ จะต้องมีทิศทางเดียวกัน มีธรรมาภิบาล โปร่งใส ให้มีการตรวจสอบได้ และสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ขณะเดียวกัน จะต้องสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจด้วย หากมีการทุจริต จะต้องเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบตามกฎหมาย ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลดำเนินการอยู่ เพื่อแก้ปัญหาไม่ให้เกิดความขัดแย้งขึ้นอีก และสร้างประชาธิปไตยที่เข้มแข็งในแบบของไทย และเป็นที่ยอมรับจากสากล
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้เข้าสู่แผนปฏิรูประยะที่ 2 และเหลือเวลาอีก 1 ปี ตามโรดแมปที่กำหนดไว้ ดังนั้น การทำงานต่างๆ จะต้องต่อเนื่องเชื่อมโยงกับแผนยุทธศาสตร์ 20 ปี มีแผนกิจกรรมหลัก ย่อย เสริม ที่ต้องไม่สะดุดแม้จะมีการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ โดยการทำงานจะต้องมีเป้าหมายในการทำให้คนไทยทุกระดับ มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น หลุดพ้นจากการเป็นผู้ที่มีรายได้ปานกลาง มุ่งช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ
“ขอให้แต่ละหน่วยงาน จัดทำแผนแม่บทในการใช้จ่ายงบประมาณ ในอนาคต ไม่ใช่นำแผนเดิมมาเสนอ เพื่อขอใช้งบประมาณ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลมีหน้าที่อำนวยความสะดวกในการขับเคลื่อนประเทศ ขณะที่ เอกชนต้องนำแนวทางรัฐบาลไปขับเคลื่อนคู่ขนานกันไป ดังนั้น ทุกภาคส่วนต้องเดินหน้าไปพร้อมกันอย่างเข้มแข็ง ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แต่สิ่งสำคัญคือ เมื่อมีการดำเนินโครงการใดๆ ก็ต้องให้ประชาชนได้รับรู้ว่าได้ทำเพื่ออนาคต และจะดำเนินการไปในทิศทางใด ซึ่งประชาชนจะต้องเข้าใจและรับรู้ มิเช่นนั้นจะเกิดความขัดแย้งเรื่อยๆ .- สำนักข่าวไทย