ศูนย์ประชุมสิริกิติ์ 7 ก.พ.- กกร.ชี้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ แต่ยังอ่อนแอ กังวลปัญหาสินค้าราคาถูกทะลักไทยกระทบ SME เสนอรัฐทบทวนข้อยกเว้นภาษีสินค้าออนไลน์ที่ไม่เกิน 1,500 บาท รวมถึงการใช้ Free Trade Zone จี้ สมอ.ออกมาตรฐานผลิตภัณฑ์ฯ ให้ครอบคลุม
นายทวี ปิยะพัฒนา รองประธานอาวุโส สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นตัวแทนประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) โดยมีนายจีรพันธ์ อัศวะธนกุล รองประธานกรรมการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และนายกอบศักดิ์ ดวงดี เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย ร่วมแถลงข่าว
นายทวี กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกปี 2567 มีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงปีก่อน หลีกเลี่ยงการชะลอตัวรุนแรงได้ เศรษฐกิจโลกปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้ที่ราว 3% ปรับตัวดีกว่าประมาณการเดิมเล็กน้อยตามคาดการณ์ของ IMF และ OECD เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังแข็งแกร่งแม้ดอกเบี้ยสูง และเศรษฐกิจจีนที่คาดจะมีแรงหนุนจากมาตรการภาครัฐ สอดคล้องกับดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ในเดือนมกราคม ที่ดีขึ้น
การส่งออกของไทยยังขยายตัวได้แต่มีความเสี่ยงมากขึ้นจากปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ การส่งออกสินค้ามีแนวโน้มขยายตัวประมาณ 2-3% ในปีนี้ ตามการฟื้นตัวของประเทศตลาดเกิดใหม่และวัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ อย่างไรก็ตาม ยังเผชิญความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์หลายปัจจัย ทั้ง การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นหลายประเทศ ซึ่งอาจเกิดการปรับเปลี่ยนทางนโยบายสำคัญ ผลกระทบจากสงครามที่ขยายวง โดยเฉพาะอิสราเอล-ฮามาสที่ส่งผลให้ค่าระวางเรือเพิ่ม และกระทบกับราคาพลังงาน ปัญหาความไม่สงบในประเทศเพื่อนบ้าน และการแข่งขันกับสินค้าจีนในประเทศเพื่อนบ้าน
เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้แต่ยังอ่อนแอ แม้ภาคการท่องเที่ยวเป็นปัจจัยหนุนเศรษฐกิจ แต่ภาคการผลิตหดตัวต่อเนื่อง ทำให้การฟื้นตัวไม่ทั่วถึง ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ติดลบต่อเนื่องเป็นสัญญาณความอ่อนแอของเศรษฐกิจในประเทศ ถือเป็นสัญญาณที่ควรติดตาม นอกจากนี้ปัญหาเชิงโครงสร้างของไทยทำให้เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัว ขณะที่สินค้าไทยหลายรายการเริ่มไม่เป็นที่ต้องการของตลาด
กกร.จึงคงกรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 2567 ดังนี้ GDP 2.8 ถึง 3.3 ส่งออก 2.0 ถึง 3.0 และเงินเฟ้อ 0.7 ถึง 1.2 อย่างไรก็ตามตัวเลขประมาณการ GDP ปี 2567 ที่ออกมานี้ยังไม่รวมผลของมาตรการ Digital Wallet
ที่ประชุมกกร.สนับสนุนการดำเนินมาตรการการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพราะเป็นแนวทางที่สามารถช่วยแก้หนี้ให้กับประชาชนได้จริง ซึ่งจะได้มีความต่อเนื่องในการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ตั้งแต่ช่วงโควิด-19 โดยภายใต้แนวทางมาตรการ Responsible Lending จะช่วยเหลือลูกหนี้ตั้งแต่ก่อนเป็นหนี้เสีย ระหว่างเป็นหนี้เสีย มุ่งเน้นให้ความช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางเป็นอันดับต้นๆ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีภาระหนี้สูง และรายได้ยังไม่ฟื้นตัว แต่ขอให้ ธปท. ติดตามประเมินผลกระทบของมาตรการต่อการเข้าถึงสินเชื่อด้วย ทั้งนี้ต้องให้ความสำคัญกับการยกระดับรายได้ และแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างที่สั่งสมมานาน สะท้อนจากรายงานของ World Economic Forum ล่าสุดที่บ่งชี้ว่า ไทยยังทำได้ไม่ดีนักจากการจัดอันดับด้าน Future of Growth โดยจำเป็นต้องเร่งปรับปรุงความเหลื่อมล้ำ (Inclusiveness) ความยั่งยืน (Sustainability) และความยืดหยุ่น (Resilience) ที่ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลก ดังนั้น ไทยจำเป็นต้องเร่งขจัดความแตกต่างทางรายได้ระหว่างกลุ่มต่างๆ รวมถึงลดขนาดของเศรษฐกิจนอกระบบลง และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
นายจีรพันธ์ อัศวะธนกุล รองประธานกรรมการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า กกร. มีความกังวลกับปัญหาสินค้าราคาถูกที่เข้ามาทุ่มตลาดในประเทศไทย และในตลาดอาเซียน ทั้งจากสินค้าออนไลน์ (E-commerce) และการเข้ามาใช้ประโยชน์จาก Free Trade Zone เพื่อขายสินค้าในประเทศ รวมถึงการลักลอบนำเข้าสินค้าผ่านด่านศุลกากรโดยการสำแดงข้อมูลเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี ทำให้สินค้าราคาถูกรวมถึงสินค้าที่ไม่มีมาตรฐานทะลักเข้าตลาดภายในประเทศ ส่งผลกระทบต่อยอดขายสินค้าของผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะ SMEs ที่ไม่สามารถแข่งขันด้านต้นทุนได้ จึงเสนอภาครัฐทบทวนข้อยกเว้นการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับการซื้อสินค้าออนไลน์ที่ไม่เกิน 1,500 บาท เพื่อให้เกิดความยุติธรรมกับผู้ประกอบการไทย ทบทวนนโยบายและเงื่อนไขในการใช้สิทธิประโยชน์ใน Free Trade Zone รวมทั้ง ออกมาตรการปกป้องผู้ประกอบการในประเทศ เช่น การนำมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนตลาด (Anti-Circumvention: AC) มาบังคับใช้ การเพิ่มความเข้มงวดการตรวจจับสินค้าที่นำเข้าผ่านด่านศุลกากร และการเร่งออกมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมให้ครอบคลุม เป็นต้น
นอกจากนี้ กกร. ยังมีความกังวลเกี่ยวกับความหนาแน่นของจำนวนนักท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวบางพื้นที่ เช่น ภูเก็ต จึงขอให้ภาครัฐจัดระเบียบ และส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง เพื่อลดความหนาแน่นและช่วยกระจายรายได้อย่างทั่วถึง
อย่างไรก็ตามปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างก่อสร้างภาครัฐ ทำให้ภาคเอกชนไทยไม่สามารถแข่งขันได้เต็มศักยภาพ และหลายส่วนยังต้องได้รับการปรับปรุงให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เช่น การอ้างอิงราคาในอดีตไม่สะท้อนต้นทุนจริง เน้นราคาต่ำ กระบวนการการจัดชั้นและการคัดเลือกยังเป็นอุปสรรคต่อการแข่งขัน การเบิกจ่ายเงินมีความล่าช้า ดังนั้นภาคเอกชนจึงมีข้อเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาการจัดจ้างงานก่อสร้างภาครัฐ ดังนี้
- ปรับแนวคิดในกฏหมาย จากการเน้นประโยชน์หน่วยงานของรัฐ ไปสู่ประโยชน์สาธารณะ
- ปรับการคำนวณราคาให้สะท้อนต้นทุนจริง
- ปรับแบบสัญญาจัดจ้าง โดยการขอแก้ไขกฏหมาย และ แก้แบบสัญญา
- กำหนดเงื่อนไขการคัดเลือกผู้รับเหมา โดยเสนอแก้ไขกฏหมาย ที่กำหนดเงื่อนไขในการคัดเลือกผู้รับเหมาอย่างโปร่งใส
- สร้างกลไกปรึกษาหารือกับผู้มีส่วนได้เสียอย่างเป็นระบบ. 517 -สำนักข่าวไทย