กรุงเทพฯ 8 ม.ค. – สมาคมนักวิเคราะห์คาดปี 67 GDP โต 3.3% ดิจิทัลวอลเล็ตเพิ่มจีดีพีอีก 0.6% ขณะที่ EPS โต 12% เศรษฐกิจดี ดอกเบี้ยโลกลด หนุน SET Index สิ้นปีขึ้น 1,590 จุด คาด fund flow ไหลกลับครึ่งปีหลัง แนะลงทุน Thai ESG ตั้งแต่ต้นปี
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนรวม 26 สำนัก ต่อทิศทางการลงทุนใน โดยสมมติฐานหลัก ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยของปีนี้ 80.24 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล คาดการณ์ การขยายตัวของ GDP ไทยปี 2567 จากเดิมที่ 3.56% (ต.ค.66) ลดลงมาเหลือ 3.33% ทั้งนี้ Risk Free Rate ที่ใช้ในการประเมินมูลค่า มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2.92% และ Risk Premium ของตลาดหุ้น เฉลี่ยอยู่ที่ 7.68%
คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. ณ สิ้นปี 2567 มีนักวิเคราะห์ถึง 62.50% ที่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับเดิม คือ2.50% รองลงมามี 20.83% ของผู้ตอบ มองว่าจะลงไปที่ 2.25% และมีผู้ตอบ 12.50% มองว่าลงไปที่ 2.00% อย่างไรก็ตามมีผู้ตอบ 4.17% มองสวนทางว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับขึ้นไปอยู่ที่ 2.75%
ส่วน SET Index ถูกคาดการณ์ว่าจะขึ้นไปปิดสิ้นไตรมาสแรกของปี 2567 ที่ 1476 จุด และเมื่อมองตลอดปี จะแกว่งตัวในกรอบ 1340 ถึง 1612 จุด โดยไปปิดสิ้นปี 2567 ที่ 1590 จุด โดยปัจจัยที่มีผลต่อทิศทางการลงทุนจนถึงสิ้นปี 2567 แบ่งเป็น
• ปัจจัยบวก ที่มีผู้โหวตมาเกินกว่า 50% ของผู้ตอบแบบสอบถาม นำโดย ผลประกอบการของบจ.ปี 67 มีผู้ตอบแบบสำรวจ 92.59% ปัจจัยรองลงมา 92.31% โหวตให้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอเมริกา ตามมาด้วยเศรษฐกิจภายในประเทศ มีผู้ตอบ 85.19% และ Fund Flows จากต่างประเทศสู่ตลาดหุ้นไทย มีผู้ตอบ 66.67% ตามลำดับ
• ส่วนปัจจัยด้านลบ นำมาจาก การลดหรือยุติมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของประเทศสำคัญทั่วโลก มีผู้ตอบ81.48% 80% รองลงมาปัจจัยด้านการเมืองในต่างประเทศ มีผู้ตอบ 71.43% ตามมาด้วยปัจจัยด้านเศรษฐกิจโลก มีผู้ตอบ 59.26% ตามลำดับ
คาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2567 ของตลาดเฉลี่ยที่ 95.62 บาท ปรับลดจากผลสำรวจครั้งก่อน ซึ่งอยู่ที่ 99.47 บาทต่อหุ้น และคาดว่า EPS Growth ของปี 2567 เฉลี่ยอยู่ที่ 12.32% ทั้งนี้ นักวิเคราะห์แนะนำให้มีการกระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น
o เงินสดและเงินฝากระยะสั้น 8.96%
o กองทุนตราสารหนี้ 25.63%
o หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 23.67%
o หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 22.79%
o กองทุนอสังหาฯหรือ REIT 9.17%
o ทองคำหรือกองทุนทองคำ 8.75%
o สินทรัพย์อื่นๆ เช่น Bitcoin ,น้ำมัน 1.03%
สำหรับมุมมองต่อการลงทุนต่างประเทศนั้น แนะนำให้ลงทุนกองทุนหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ และ Selective Asia เช่น เกาหลี และเวียดนาม ขณะที่การลงทุนหุ้นไทยนั้น แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหมวดธุรกิจ ค้าปลีก อาหาร เงินทุน/หลักทรัพย์ และการท่องเที่ยว ในขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน หมวดธุรกิจก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ รายที่มีหนี้สูง และธุรกิจประกัน
รายชื่อหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 5 สำนักขึ้นไป พร้อมประเด็นหลักสนับสนุน มีดังนี้(เรียงชื่อตามอักษรย่อ)
- AOT มองว่าได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวดีขึ้น โดยในปี 2567 คาดนักท่องเที่ยว 34.5-35 ล้านคน จากปี 2566 ที่ 27-28 ล้านคน คาดว่าจะเห็นมาตรการรัฐสนับสนุนเพิ่มเติม และนอกจากผลประกอบการจะฟื้นตัวตามการท่องเที่ยว ยังอยู่ระหว่างศึกษาการปรับขึ้นค่า PSC และการเก็บค่า Transit/Transfer รวมถึงการรอรับโอน 3 สนามบินจากกรมท่าอากาศยาน
- CPALL โดยได้แรงหนุนจากการท่องเที่ยว High Season และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาล Easy E-Receipt ตลอดจนการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ รวมถึง Digital wallet ในปี 2567 ช่วยหนุนการจับจ่ายใช้สอย
- CPN โดยมองว่า ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และภาคท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่องเช่นกัน ทั้งยังมีแผนการเปิดโครงการใหม่ในระยะยาว มองเป็นหุ้นที่น่าจะเป็นเป้าของกองทุน ThaiESG
- GPSC ปัจจัยสนับสนุนจาก Bond Yield ที่ปรับตัวลง และคาดกำไรปี 2567 โต 31% ฟื้นตัวตามค่าไฟที่คาดทยอยปรับขึ้น ขณะที่ต้นทุนก๊าซมีแนวโน้มค่อยๆ ลดลง
สำหรับหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ หุ้น DELTA เกินมูลค่าปัจจัยพื้นฐานไปมาก และหุ้นรายตัวที่มีภาระกู้ยืมสูง/เพิ่มทุน
นักวิเคราะห์ ยังมีข้อเสนอแนะไปยังรัฐบาลเกี่ยวกับนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ มีความคุ้มค่ากับผลกระทบทางงบประมาณ ส่วนใหญ่กล่าวถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว แยกเป็นการลงทุนภาครัฐที่หนุนศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ เร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ถัดมาคือด้านการช่วยเหลือภาคประชาชนได้แก่ มาตรการลดค่าครองชีพ อย่างไรก็ตาม เรื่องนโยบายแจกเงินนั้น อยากให้เปลี่ยนเป็นโครงการกระตุ้นการบริโภค (คล้ายคนละครึ่ง) หรือนโยบายช้อปช่วยชาติ และตามมาด้วย เสนอนโยบายด้านการช่วยเหลือภาคธุรกิจได้แก่ นโยบายกระตุ้นการลงทุนจากต่างประเทศ เร่งแผนยกระดับศักยภาพการผลิตไทย ส่งเสริม FDI ในอุตสาหกรรมใหม่ๆ รวมถึงกระตุ้นการลงทุนเอกชนในประเทศเกี่ยวกับ New technology และ ESG
นายสมบัติ กล่าวเพิ่มเติมถึงนโยบาย ดิจิทัลวอลเล็ต ว่านักวิเคราะห์ยังไม่ได้ให้น้ำหนักชัดเจนในเรื่องนี้ แต่ส่วนตัวมองว่า หากปฎิบัติได้จริง ย่อมมีผลต่อการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน และมีหุ้นที่จะได้รับอานิสงส์ ส่วนผลทางลบยังต้องรอติดตาม แต่เชื่อว่าไม่ถึงขั้นกระทบตลาดหุ้น อย่างไรก็ตาม หากนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ไม่เกิดขึ้นจริง ประเมินว่า GDP ก็ยังจะถึง 3%
ส่วนฟันโฟลว์ คาดว่าปีนี้น่าจะมีโอกาสเห็น fund flow ไหลกลับเข้ามา เนื่องจากรัฐบาลมีความชัดเจนนโยบายด้านเศรษฐกิจและการค้า ซึ่งมุ่งหวังให้บริหารสู่เป้าหมายให้สำเร็จ มองว่าเป็นโอกาสอีกครั้งที่จะดึงดูดการลงทุน ขณะที่ การลงทุนในกองทุน Thai ESG มีความน่าสนใจ กองทุนระยะยาว ลดหย่อนภาษีได้ และคาดว่าปีนี้ยอดขายมีโอกาสทะลุ 10,000 ล้านบาท
“ใครที่คิดว่าหุ้นถูก มีฐานภาษีเกิน 30% ให้รีบชิงซื้อตั้งแต่ต้นปี คาดว่ายอดการลงทุนปีนี้ถึง 10,000 ล้านบาท เนื่องจากมีเวลาเต็มปี และคนคุ้นเคยมากขึ้นกับการลงทุนในกองทุน Thai ESG แตกต่างจากปีที่แล้ว ที่มีเวลาขายสั้นมาก”
ด้านนายอภิชาติ ภู่บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส บล.ทิสโก้ ยอมรับว่า การคาดการณ์ fund flow ค่อนข้างยาก เนื่องจากต้องคำนึงถึงปัจจัยทั้งค่าเงินบาทและภาวะเศรษฐกิจ และคาดว่าช่วงเดือน พ.ค. ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2567 จะมีผลบังคับใช้ ซึ่งถือเป็นโมเมนตัมเชิงบวกกับเศรษฐกิจมากขึ้น มองว่าครึ่งปีหลังน่าจะมีโอกาสที่ fund flow จะไหลกลับเข้ามา
“ส่วนนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตนั้น จากความเห็นของนักวิเคราะห์บางส่วนที่มองว่า GDP ปี 67 อาจ on top ได้ถึง 3.5% ดังนั้นหากนโยบาย ดิจิทัลวอลเล็ต เกิดขึ้นจริง ก็จะทำให้ GDP มีโอกาสขึ้นไปถึง 4% ได้” -516-สำนักข่าวไทย