ตับคั่งไขมัน มีกี่ระยะ หายเองได้หรือไม่ ?
หากเป็นแล้วจะรักษาอย่างไร หายขาดหรือไม่ ?
🎯 ตรวจสอบกับ ศ.ดร.นพ.สมบัติ ตรีประเสริฐสุข สาขาวิชาโรคทางเดินอาหาร ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกรรมการบริหาร สมาคมโรคตับแห่งประเทศไทย
โรคตับคั่งไขมันเป็นเพื่อนพ้องของโรคอ้วน จะไม่มีอาการเตือน การดำเนินโรคแบบค่อยเป็นค่อยไป ซ่อนอยู่ในร่างกาย จะทำให้เราประมาท หรือชะล่าใจ ส่วนใหญ่ไม่มีอายุกำหนด
คนที่อายุแค่ 20-30 ปี และมีน้ำหนักขึ้นมาก ก็เป็นโรคตับคั่งไขมันได้
เมื่อตับคั่งไขมัน ระยะเวลาเฉลี่ยเกิน 10 ปีไปแล้ว ตับจะเริ่มอักเสบ
ขอให้ลองนึกภาพเป็นการ์ตูน เซลล์ตับเป็นรูปสี่เหลี่ยม เมื่อมีไขมันแทรกเข้าไป เซลล์ตับจะอ้วนจากสี่เหลี่ยมเป็นวงกลมใหญ่ บวม และตาย นี่คือลักษณะของตับที่อักเสบเป็นระยะเวลานาน ๆ
เมื่อเซลล์ตับตายก็จะถูกแทนที่ด้วยพังผืด ถ้าเกิดจุดเล็ก ๆ อย่างนี้ทุกจุดในเนื้อตับ สภาพตับก็จะเปลี่ยนเป็นตับเริ่มแข็งหรือมีพังผืด
ในระยะยาวก็จะเหมือนคนที่เป็นโรคตับอักเสบจากไวรัส จากแอลกอฮอล์ ก็คือนำไปสู่ตับแข็ง
นี่คือเหตุที่น่ากังวลและคล้าย ๆ เป็นระเบิดเวลาที่ซ่อนอยู่ในตัวเรา
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ได้ออกไปทำการศึกษาวิจัยมากกว่า 10 จังหวัด พบว่า 100 คนในกลุ่มเสี่ยง พบตับคั่งไขมัน 20 คน หรือ 1 ใน 5 และในจำนวน 20 คน อีก 1 ใน 5 เริ่มมีพังผืดตับแล้วถือว่าจำนวนไม่น้อย
ระดับของ “ตับคั่งไขมัน”
ใครก็ตามที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น “โรคตับคั่งไขมัน” อย่าเพิ่งตกใจ เพราะร้อยละ 20 เท่านั้นที่เริ่มมีแผลเป็น แปลว่าอีก 80 เปอร์เซ็นต์เพิ่งเริ่มต้น คือไม่มีแผลเป็นเลย ซึ่งเป็นระยะที่ดีมาก ถ้ามีการเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน หันมาออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง กลุ่มนี้หายจากโรคตับคั่งไขมันได้เลย
ระยะเริ่มมีพังผืดแบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ ระยะพังผืดที่ 1 และ 2 แสดงว่าโรคเป็นมานานเกือบปีหรือมากกว่า 1 ปีแล้ว กลุ่มนี้ถ้าใช้การออกกำลังกาย เปลี่ยนพฤติกรรมการกินและอาจจะใช้ยาร่วมด้วยจากแพทย์ที่ดูแล ก็ทำให้โรคหายได้ถ้าทำสำเร็จตามเป้าหมาย
กลุ่มสุดท้าย “ตับคั่งไขมัน” ที่มีพังผืดมาก คือ ระยะพังผืดที่ 3 และ 4 กลุ่มนี้ทำได้โดยประคับประคองไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นพังผืดระยะสุดท้ายหรือตับแข็ง
อย่างไรก็ตาม ถ้าได้รับการรักษาและดูแลโดยแพทย์ก็จะทำให้อาการดีขึ้นมากกว่าไม่ได้รับการรักษาอยู่ดี
ต้องทำอย่างไร เมื่อเป็นโรคตับคั่งไขมัน
คนที่เริ่มต้นเป็นใหม่ ๆ ควรกลับไปดู 2 เรื่อง
1. ชนิดของอาหารที่กิน และปริมาณการกิน
2. วิถีชีวิตและพฤติกรรมสุขภาพ เริ่มออกกำลังกายทันที
ส่วนพฤติกรรมนั่ง นอน อยู่บนเตียง ทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน เหล่านี้คือปัจจัยเสี่ยง
การออกกำลังกาย วิ่ง เดิน ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ เคลื่อนไหวร่างกาย ได้ทุกกิจกรรมเลย จะช่วยเผาผลาญไขมันออกจากตับ เป็นสิ่งสำคัญมากควบคู่กัน 2 ปัจจัย
นอกจาก “ไขมัน” กลุ่ม “คาร์โบไฮเดรต” ก็สัมพันธ์กับโรคตับคั่งไขมัน
โรคตับคั่งไขมัน ชื่ออาจจะทำให้คนเข้าใจว่าเกี่ยวข้องกับไขมันอย่างเดียวทั้งหมด
เรื่องนี้ จริงครึ่งเดียว ส่วนอีกครึ่งมาจากอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรต
เวลาแนะนำผู้ป่วย จะแนะนำอาหาร 5 หมวด
1. ข้าว เพราะคนไทยหนักกินข้าว (แต่ละมื้อหลายทัพพี) ต้องลดลง
2. แป้ง ขนมปัง
3. น้ำหวาน ยุคนี้มีสารพัดสูตรเครื่องดื่มรสหวาน มีน้ำตาลเป็นองค์ประกอบสูงมาก จะต้องลดและเลี่ยงเด็ดขาด คำแนะนำก็คือ ให้ดื่มเฉพาะน้ำเปล่า กาแฟดำ ชาดำ
4. ผลไม้ เพราะมีบางคนกินผลไม้มากครั้งละเป็นกิโลกรัม ขอให้กินจานเล็กก็พอ
5. เผือก มัน กล้วย ฟักทอง นาน ๆ กินสักครั้งได้ แต่ถ้ากินเป็นประจำไม่แนะนำ
โรคตับคั่งไขมันไม่มีอาการ เมื่อดีขึ้นก็ไม่มีอาการเช่นกัน เมื่อลดน้ำหนักร่างกายลงไป 5 เปอร์เซ็นต์ จากการผอมลง ตัวเบา เข่าดีขึ้น ความฟิต การหลับการนอนสบายขึ้น และภาวะนอนกรนก็เป็นเพื่อนกับโรคตับคั่งไขมัน
ดังนั้น เมื่อลดน้ำหนัก ทั้ง 2 โรคจะดีขึ้น ร่างกายรู้สึกสดชื่น การทำงานคล่องตัวมากขึ้นในชีวิตประจำวัน
โรคตับคั่งไขมัน “ป้องกันได้” หากเข้าใจข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง
ดูเพิ่มเติม “รายการชัวร์ก่อนแชร์”
ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย : พีรพล อนุตรโสตถิ์
เรียบเรียงโดย : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล
หากได้รับอะไรมา อย่าเพิ่งแชร์ต่อ ส่งมาตรวจสอบกับ “ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์”
LINE :: @SureAndShare หรือคลิก http://line.sure.guru
FB :: https://www.facebook.com/SureAndShare
YouTube :: https://www.youtube.com/@SureAndShare
Twitter :: https://www.twitter.com/SureAndShare
IG :: https://instagram.com/SureAndShare
Website :: http://www.ชัวร์ก่อนแชร์.com
TikTok :: https://www.tiktok.com/@sureandshare
สมัครรับฟรี ชัวร์ก่อนแชร์ Newsletter ส่งถึงกล่องอีเมลของคุณทุกสัปดาห์ :: https://i.sure.guru/sureandshareNewsletter