ทำเนียบ 17 พ.ย.-“ศุภมาส” รมว.อุดมศึกษาฯ เผยบรรยากาศหารือแก้ปมพิพาทจุฬาฯ-อุเทนถวาย เป็นไปด้วยดี ชี้ต้องยึดหลักกฎหมายควบคู่ไปกับความรู้สึกด้วย รับกลัวเอาพื้นที่ไปใช้เชิงพาณิชย์
น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.) ให้สัมภาษณ์กรณีการเจรจาหาข้อยุติหลังศาลมีให้คำสั่งตัดสินย้าย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก (มทร.ตะวันออก) วิทยาเขตอุเทนถวายออกจากพื้นที่ภายใน 60 วัน ว่า วานนี้ (16 พ.ย.) ประชุมร่วมกับทุกฝ่ายเพื่อหาข้อยุติ ซึ่งมีตัวแทนจากอุเทนถวาย สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ กรมธนารักษ์ สำนักงบประมาณ และส่วนทรัพย์สินจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ประชุมพูดคุยกันด้วยเหตุด้วยผล รับฟังความเห็นและข้อเสนอแนะทุกฝ่าย ยืนยันว่าบรรยากาศการประชุมเป็นไปด้วยดี ไม่ได้เพิ่มความขัดแย้ง
น.ส.ศุภมาส กล่าวว่า ที่ประชุมเห็นพ้องกันให้ศึกษาข้อเสนอในที่ประชุมว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด เพื่อให้ได้ข้อสรุปในการประชุมครั้งต่อไป หลังจากนั้นจุฬาฯ จะศึกษาร่วมกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ยอมรับว่านักศึกษาอุเทนถวายต้องการความชัดเจนและมีข้อสงสัยที่ไม่เป็นไปตามที่ตกลงกันก่อนหน้านี้ หากตกลงยุติกันไปอาจจะไม่เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ ซึ่งหลายคนกังวลว่า ก่อนที่นักศึกษาจะเรียนจบจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง และหากต้องย้าย จะไปอยู่ที่ไหน มีใครเข้ามาดูแล เนื่องจากหลายคนได้รับข้อมูลข่าวสารไม่ตรงกัน จึงเกิดข้อกังวล
เมื่อถามว่า ได้วางกรอบไทม์ไลน์เจรราไว้หรือไม่ น.ส.ศุภมาส กล่าวว่า การเจรจราหาข้อยุติไม่สามารถวางกรอบหรือไทม์ไลน์ได้ เพราะอาจจะไปเพิ่มอารมณ์ความรุนแรง เพียงแต่ทุกคนอยากได้ข้อยุติที่ดีเร็วที่สุด
ส่วนกรณีศิษย์เก่ามาสนับสนุนให้ศิษย์ปัจจุบันเคลื่อนไหว น.ส.ศุภมาส กล่าวว่า ในวงหารือวานนี้(16 พ.ย.) ก็มีศิษย์เก่ามาร่วมเป็นคณะกรรมการด้วย ซึ่งมีข้อเสนอว่าเมื่อปัญหายังคาราคาซังแบบนี้ จึงอยากรับฟังจากอุเทนถวายว่าต้องการอะไรบ้าง และทางจุฬาฯ สามารถสนับสนุนข้อเสนอนี้อย่างไรได้บ้าง อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ว่าถ้าอุเทนถวายเห็นภาพชัดว่าทางจุฬาฯ ได้ที่คืนไปแล้วไม่ได้เอาไปใช้ในเชิงพาณิชย์ แต่เอาไปใช้เป็นสาธารณประโยชน์ อาจจะเป็นสวนสาธารณะหรือพิพิธภัณฑ์สำหรับเด็กเพื่อการศึกษาเหมือนกับหอศิลป์ในกทม. อาจจะเป็นข้อเสนอใหม่ที่ทางอุเทนถวายอาจจะพิจารณาได้ ซึ่งน่าจะเป็นแนวโน้มที่ดี
“ปัญหานี้มีมานานแล้ว คงไม่ใช่ใช้คำว่าจบ แต่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในยุคนี้ บังเอิญว่าช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ซึ่งฟ้องร้องกันมาเรื่อย ๆ แต่ไม่มีคำสั่งของศาลปกครองสูงสุด ยุคนี้ทุกฝ่ายต้องถือกฎหมายสูงสุด เพียงแต่ไม่สามารถยึดหลักกฎหมายอย่างเดียวได้ แต่ต้องยึดหลักความสงบเรียบร้อย ต้องดูแลความรู้สึกของบุคลากรทุกคนในอุเทนถวายด้วย เพราะเราคงไม่อยากเห็นสถาบันที่ร่ำเรียนมาหายไปในชั่วข้ามคืน เรื่องความรู้สึกของคนเป็นเรื่องใหญ่ไม่แพ้เรื่องหลักกฎหมาย จึงต้องบังคับใช้กฎหมายโดยสมัครใจ และทุกคนเห็นตรงกัน” น.ส.ศุภมาส กล่าว.-สำนักข่าวไทย