อิสราเอล 26 ต.ค. – กองทัพอิสราเอลรายงานล่าสุดปรับเพิ่มจำนวนตัวประกันชาวไทยที่ฮามาสจับกุมอยู่เพิ่มเป็นถึง 54 คน ขณะกองทัพเผยว่าเมื่อคืนที่ผ่านมา ส่งกองรถถังบุกภาคพื้นดินเข้าไปในกาซาแล้ว
ในเวลานี้อิสราเอลมุ่งโจมตีทางอากาศต่อเนื่องมาเกือบ 3 สัปดาห์ พร้อมย้ำหลายครั้งว่าเตรียมยกพลบุกภาคพื้นดินเข้าไปยังกาซาเพื่อกำจัดฮามาส เมื่อคืนนี้นอกจากการโจมตีทางอากาศแล้ว กองทัพกองทัพอิสราเอลยังได้ส่งกองรถถังบุกเข้าไปในกาซา
อย่างไรก็ตาม อิสราเอลบอกนี่ไม่ใช่ปฏิบัติการภาคพื้นดินเพื่อทำลายแหล่งซ่องสุมของเหล่าก่อการร้ายและฐานยิงจรวดหลายแห่งของกลุ่มฮามาสทางตอนเหนือของกาซา แล้วจึงถอนกำลังออกมา เป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งในการเตรียมการรุกครั้งใหญ่
แม้นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อิสราเอลบุกเข้าไปในดินแดนกาซา ตั้งแต่ถูกฮามาสโจมตีเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม เคยส่งทหารเข้าไปสองครั้ง แต่เป็นกองรถถังใหญ่ที่สุด จากการวิเคราะห์ของหลายฝ่ายมองว่ามีเจตนาหลักๆ เพื่อหวังผลทางจิตวิทยาข่มขวัญข้าศึก และสร้างขวัญกำลังใจให้ทหารและประชาชน รวมถึงส่งสัญญาณว่าปฏิบัติการภาคพื้นดินครั้งใหญ่กำลังใกล้เข้ามา
แม้ว่าจะมีเสียงคัดค้านจากหลายประเทศให้หยุดยั้งความสูญเสียไป นายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ยังเรียกประชุม ครม. และย้ำอีกครั้งว่าพร้อมยกพลเข้าไปในฉนวนกาซาทุกเมื่อ
ก่อนนั้นกลุ่มฮามาสเพิ่งเคลื่อนไหว เผยภาพรองหัวหน้ากลุ่มพบกับนายซีอัด อัล-นาคาลา หัวหน้าอิสลามิกจิฮัด กลุ่มปาเลสไตน์ที่ต่อต้านอิสราเอลอีกกลุ่ม และที่สำคัญยังพบกับนายฮัสซัน นาซรัลเลาห์ หัวหน้ากลุ่มฮิซโบลเลาะห์ กลุ่มการเมืองที่มีอิทธิพลสูงและมีกองกำลังขนาดใหญ่ในเลบานอน ระบุว่ามาประชุมกันเพื่อหารือแผนของมุ่งสู่ชัยชนะที่แท้จริง ตีความได้ว่าทั้งสามกลุ่มเตรียมร่วมมือกันรบกับอิสราเอลหากเปิดฉากรุกภาคพื้นดินเข้าไปในฉนวนกาซา
ที่น่าวิตกหากฮิซโบลเลาะห์เปิดแนวรบอีกด้านอย่างเต็มรูปแบบกับอิสราเอล ก็จะทำให้สงครามขยายวงดึงให้มหาอำนาจรายอื่นเข้ามาร่วมด้วย และการสู้รบในฉนวนกาซาจะยิ่งซับซ้อนเป็นอันตรายต่อพลเรือนที่เสียชีวิตไปแล้วกว่า 6,500 คน ตามตัวเลขของทางการฮามาส ยิ่งไปกว่านั้นวิกฤติตัวประกันยังค้ำคออยู่
ล่าสุดอิสราเอลได้ปรับเพิ่มตัวเลขตัวประกันเพิ่มอีก 2 คน เป็น 224 คน กว่าครึ่งเป็นชาวต่างชาติจาก 25 ประเทศ จำนวนนี้เป็นคนไทยเพิ่มขึ้นเป็น 54 คน ซึ่งเป็นจำนวนมากที่สุดในหมู่ชาวต่างชาติ รองลงมาเป็นอาร์เจนตินา 15 คน เยอรมนีและสหรัฐ 12 คนเท่ากัน .-สำนักข่าวไทย