ทำเนียบรัฐบาล 13 ต.ค. – นายกรัฐมนตรี หารือเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย เผยย้ายคนไทยออกจาก Red Zone ในฉนวนกาซาแล้ว ขอญาติสบายใจ ขณะที่รัฐบาลพร้อมดูแลค่าใช้จ่ายกรณีเดินทางกลับเองด้วย ยืนยันอิสราเอลพร้อมอำนวยความสะดวกเปิดน่านฟ้า เตรียมขนคนงานพักรอซาอุฯ-อียิปต์-ยูเออี
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังหารือกับนางสาวออร์นา ซากิฟ (H.E.Ms. Orna Sagiv) เอกอัครราชทูตรัฐอิสราเอลประจำประเทศไทย ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ว่าได้อัปเดตสถานการณ์และขอร้องอิสราเอลให้พยายามทุกวิถีทางที่สามารถทำได้ เพื่อให้คนไทยในอิสราเอลเดินทางกลับออกมาถึงประเทศไทยโดยปลอดภัย ซึ่งจากการพูดคุยกับเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย ก็มีความสบายใจในระดับหนึ่งว่า ไม่ต้องกังวล ขณะนี้มีความพร้อมอย่างเต็มที่ที่จะให้เครื่องบินลงไปรับคนไทยกลับมา เพราะขณะนี้สามารถขนย้ายคนในพื้นที่อันตราย 0-4 กิโลเมตร หรือ Red Zone ในฉนวนกาซา 99% โดยเป็นคนไทยและชาวต่างชาติอพยพออกมาอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยเรียบร้อยแล้ว ขอให้ญาติสบายใจได้ ตอนนี้กำลังพยายามดูในพื้นที่ 4-9 กิโลเมตร ว่าจะทำอย่างไรต่อไป เพื่อให้เกิดความปลอดภัย
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้มีแรงงานไทยที่แสดงความจำนงจะเดินทางกลับจำนวนมากเกือบ 6,000 คน แต่จะขนย้ายคนไทยเดินทางออกมาจากอิสราเอลได้วันละประมาณ 200 คน ซึ่งทางเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย ยืนยันว่า มีเครื่องบินบินไปถึงเท่าไหร่ก็พร้อมที่จะให้เดินทางออกไปทันที แต่จุดใหญ่คือ เรื่องของเครื่องบินที่จะต้องไปรับ ซึ่งคณะทำงานจะมีการประชุมหารือกับทางสายการบินพาณิชย์ และผู้เกี่ยวข้อง เพื่อดูแผนงานทั้งหมดที่จะนำคนไทยกลับมาโดยเร็ว และทางเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเทลอาวีฟ ก็ให้ความมั่นใจว่า ทางรัฐบาลอิสราเอลให้ความสำคัญสูงสุดในการลำเลียงคนออกจากจุดต่างๆ มาถึงจุดที่ปลอดภัย และพร้อมที่จะส่งกลับได้
อย่างไรก็ตาม ในการใช้เครื่องบินเพื่ออพยพคนไทยจะต้องขอบินผ่านน่านฟ้าในทุกครั้ง ซึ่งทางกระทรวงการต่างประเทศได้พยายามเจรจา และหวังว่านานาชาติจะช่วยอำนวยความสะดวก ซึ่งความสำคัญสูงสุด คือ คนไทยต้องออกมาให้ได้เร็วที่สุด ด้านเอกสารเป็นเรื่องรอง สำหรับความคืบหน้าของประเทศที่ 3 กระทรวงการต่างประเทศกำลังประชุมและเจรจา ซึ่งอาจจะเป็นอียิปต์ ยูเออี และซาอุดีอาระเบีย ยืนยันพยายามอย่างดีที่สุด
ขณะเดียวกัน ในระหว่างนี้หลายคนอาจจะประสบปัญหากระทบกระเทือนทางด้านจิตใจ เอกอัครราชทูตไทยฯ ก็ให้ความมั่นใจว่า รัฐบาลอิสราเอลให้ความสำคัญ โดยมีเจ้าหน้าที่ไปพูดคุยปลอบโยน ให้การดูแลอย่างดีเท่าที่สามารถทำได้
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ได้ฝากเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย ดูแลกรณีที่มีคลิปออกมาว่า แรงงานไทยถูกบังคับให้ทำงาน ซึ่งเอกอัครราชทูตฯ ก็รับทราบอยู่แล้วและพยายามที่จะหาความจริงให้ได้ และเห็นด้วยกับตน 100% ว่าจะบังคับให้แรงงานทำงานในภาวะสงครามเช่นนี้ไม่ได้ ไม่ควรต้องทำเช่นนี้ ขอให้ลืมเรื่องผลประโยชน์ไปก่อน และขอให้คำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชน ถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ซึ่งทางทูตอิสราเอลก็ยืนยันว่า ขณะนี้ภาวะสงครามไม่ได้ลดความรุนแรงลง มีความเข้มข้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น จึงต้องขอร้องและวิงวอน และความจริงแล้วคือกดดันว่าคนของไทยไม่ได้มีความเกี่ยวข้อง และไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของข้อพิพาทของใครทั้งนั้น อีกทั้งไทยเป็นชาติที่สูญเสียมากเป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐอเมริกา ถ้าไม่นับอิสราเอล ยังไม่แน่ใจว่าจำนวนคนเหล่านี้จะเป็นจำนวนที่จบหรือยัง พร้อมกันนี้ยังได้ขอร้องให้ทางอิสราเอลดูแลเรื่องของตัวประกัน โดยขอให้พยายามเจรจาให้ปล่อยตัวออกมาให้ได้ เพราะตัวประกันไม่ใช่มีเฉพาะคนไทย แต่มีหลายชาติ และไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของข้อพิพาทตรงนี้ เป็นผู้บริสุทธิ์ ซึ่งดูตามสนธิสัญญาระหว่างประเทศ หรืออะไรก็ตาม คนเหล่านี้ต้องถูกปล่อยตัวออกมา
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ยังได้ขอร้องไปว่าขอให้มีขั้นตอนในการที่จะนำร่างกลับมาประเทศไทยให้เร็วที่สุด แต่ทางอิสราเอลก็ขอความเห็นใจ เพราะมีผู้เสียชีวิตเป็นพันศพ จะต้องมีการชันสูตรและพิสูจน์ทราบ แต่ยืนยันว่าจะให้ความสำคัญอย่างเต็มที่ ซึ่งขั้นตอนพิสูจน์ทราบถือเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากผู้เสียชีวิตจะได้ค่าตอบแทนจากทางการอิสราเอล โดยเฉพาะภรรยาที่จะได้รับตลอดชีวิต รวมทั้งบุตรที่ดูแลจนอายุ 18 ปี ดังนั้นจึงต้องทำให้ถูกต้องก่อนที่จะนำศพกลับมา จึงขอร้องว่า ขอให้ใจเย็นกันนิดนึง เพราะเรื่องนี้รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างเต็มที่
พร้อมกันนี้ นายเศรษฐา ยืนยันว่า แรงงานไทยที่เดินทางกลับมาเองด้วยสายการบินพาณิชย์ รัฐบาลพร้อมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด ไม่ใช่แค่ส่วนหนึ่ง เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องรับผิดชอบ ส่วนปัญหาคู่สายไม่เพียงพอ อาจเกิดจากการใช้งานพร้อมกันจำนวนมาก ก็ขอให้รอ
ส่วนจะเดินทางไปรับคนไทยด้วยตัวเองหรือไม่ ขอดูก่อน เนื่องจากติดภารกิจเดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนและซาอุดีอาระเบีย ในช่วงสัปดาห์หน้า แต่หากมีเวลาก็อยากจะไปเยี่ยมคนเจ็บ
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนแล้วเสร็จ นายกรัฐมนตรี จะมีการหารือกับส่วนงานราชการและอื่นๆ อีกกว่า 8 คณะ เช่น ตำรวจปราบปรามยาเสพติด การก่อสร้างสะพานของกระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข ดูเรื่องเยียวยารักษา ยังมีเรื่องกระบวนการยุติธรรม มีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแต่ละหน่วยงาน และจะมาประชุมร่วมกัน ดังนั้น ขอให้สบายใจว่าทำอย่างเต็มที่ และตนก็จะพบอีกหลายท่านเพื่อตามงาน พบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ตามเรื่องสะพานที่สุไหงโก-ลก ซึ่งวันนี้จะมีการพบปะถึง 8 คณะ. – สำนักข่าวไทย