ปัตตานี 27 มิ.ย. – กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ถกความคืบหน้าดำเนินคดีกับขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ จัดทำประชามติให้เอกราชปาตานี ยันเดินหน้าฟ้องคดี ไม่เกี่ยวช่วงเปลี่ยนผ่านการเมือง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ห้องประชุมสำนักกฎหมายและสิทธิมนุษยชน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า จังหวัดปัตตานี พล.ต.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 4 และรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ประชุมติดตามความคืบหน้าการดำเนินคดีกับขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ จัดทำประชามติที่เกี่ยวข้องกับเอกราชปาตานี ณ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เมื่อวันที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมา
พลตรีปราโมทย์ เปิดเผยว่า ภายหลังแม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ได้มอบอำนาจให้ผู้อำนวยการสำนักกฎหมายและสิทธิมนุษยชน ไปร้องทุกข์กล่าวโทษกับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองปัตตานี เมื่อวันที่ 23 มิถุนายนที่ผ่านมา เพื่อเอาผิดกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมเปิดตัวขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ
ภายหลังที่ทางเจ้าหน้าที่ได้ไปแจ้งความดำเนินคดีก็มีกระแสขึ้นมาในสังคมอย่างกว้างขวาง ทั้งในเรื่องของเครือข่ายนักวิชาการ ที่ออกมาให้ประเด็นว่าเป็นเรื่องของการจัดกิจกรรมในเชิงวิชาการ ในรั้วมหาวิทยาลัย อีกทั้งยังมีหลายฝ่ายที่พยายามที่จะเสนอให้ใช้แนวทางตามหลักรัฐศาสตร์ กล่าวคือ การปรับเปลี่ยนทัศนคติ ความคิดความเชื่อ แต่เรื่องของการดำเนินคดี บางท่านก็มองว่าเป็นเรื่องของการดำเนินการของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า อาจจะเกี่ยวพันกับไทม์ไลน์ในช่วงการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง ซึ่งจริงๆ แล้วภายหลังเกิดเหตุ ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน ทางกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้มีการประกาศมาตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน ว่าเจ้าหน้าที่จะใช้เวลาในการรวบรวมพยานหลักฐานประมาณสองสัปดาห์ เพื่อนำไปสู่การเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษให้กับพนักงานสอบสวน
กล่าวคือ ลักษณะของการกระทำความผิดที่เป็นเรื่องของคดีความมั่นคง เราไม่สามารถมองแค่เฉพาะภาพสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าวได้ ต้องมีการตรวจสอบความเชื่อมโยงทางพฤติกรรมของบุคคล, กลุ่มองค์กร รวมทั้งเจตนาแอบแฝง หรือเจตนาพิเศษต่างๆ ว่ามันจะมีส่วนสัมพันธ์อย่างไร เพราะฉะนั้นตามที่หลายฝ่ายได้แสดงความคิดเห็นออกมาลักษณะของการจัดกิจกรรมในวันนั้น น่าจะเป็นสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของพี่น้องประชาชนก็อาจจะใช่ แต่ถ้าเรามองในเจตนาหรือเจตนาพิเศษ ซึ่งเราก็มีการตรวจสอบความข้อเท็จจริงว่ามีความเชื่อมโยงกันอย่างไร
ในเรื่องดังกล่าวทางกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ขอยืนยันว่ายังคงยึดมั่นในหลักกฎหมาย ที่จะดำเนินตามพยานหลักฐาน พูดด้วยความระมัดระวัง รอบคอบ และพร้อมที่จะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
ทั้งนี้ สิ่งที่จะนำไปสู่การดำเนินคดีขึ้นอยู่กับหนึ่งเจตนา หรือเจตนาพิเศษพฤติกรรม รวมทั้งในเรื่องของพยานหลักฐาน เพราะฉะนั้นในเรื่องของแนวทางการดำเนินการสืบสวนสอบสวนการกระทำความผิด ที่กระทำความผิดเกี่ยวกับคดีความมั่นคง ล่าสุดทางแม่ทัพภาคที่ 4 ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เป็นคณะทำงานด้านกฎหมาย รวมทั้งคณะที่ปรึกษาด้านต่างๆ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย มาประชุมหารือร่วมกัน เพื่อกำหนดกรอบแนวทางในการจัดทำสำนวนฟ้อง
“วันนี้ได้มีการเห็นพ้องต้องกันว่าแนวทางที่จะดำเนินการคดีจะต้องมีการวาดภาพให้เห็นภาพรวมให้ได้ก่อน สื่อสังคมเห็นแค่ภาพการใช้ความรุนแรงของขบวนการบีอาร์เอ็น แต่จริงๆ แล้วอีกด้านหนึ่งที่สังคมอาจจะมองไม่เห็น คือในเรื่องของช่องทาง ทางความคิดการต่อสู้ทางการเมือง กล่าวคือผู้ที่ถูกร้องทุกข์กล่าวโทษทั้ง 5 ราย จะเป็นสมาชิกของกลุ่มขบวนการหรือไม่นั้น ซึ่งหลักฐานไปถึงใครเกี่ยวข้องความผิดฐานใด เราก็คงจะดำเนินคดีตามนั้น ไม่สามารถที่จะดำเนินการโดยไม่สามารถที่จะละเว้นการดำเนินการปฏิบัติได้“ รองแม่ทัพ ภาค 4 กล่าว
ทั้งนี้ ขอยืนยันว่า กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เป็นหน่วยงานหลักที่จะดำเนินการทุกกลไกในการแก้ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งมิติความมั่นคง มิติการพัฒนาและวิธีบริหารจัดการภาครัฐ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เราก็ได้มีการประกาศตั้งแต่แรกว่า เจ้าหน้าที่จะใช้เวลาในการรวบรวมพยานหลักฐานประมาณสองสัปดาห์จนนำไปสู่การฟ้องร้องคดี ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง ทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อช่วงของการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง.-สำนักข่าวไทย