กรุงเทพฯ 8 มิ.ย. – “บิ๊กโจ๊ก” พบอธิบดีอัยการ หารือคดี “แอม ไซยาไนด์” เตรียมส่งสำนวนสัปดาห์หน้า พร้อมสำนวนคดี “รองอ๊อฟ-ทนายพัช”
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางเข้าพบนายปรีชา สุขสงวน อธิบดีสำนักงานคดีอาญา สำนักงานอัยการสูงสุด และพนักงานอัยการในคณะทำงานคดีแอม ไซยาไนด์ เพื่อหารือการทำสำนวนคดี ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ก็เสร็จสิ้น โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ลงมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนที่เฝ้ารออยู่บริเวณด้านล่างสำนักงานอัยการสูงสุด ว่า การพบกับอธิบดีอัยการในวันนี้ เป็นการหารือเพื่อวางแผนในการทำสำนวนคดีของ แอม ไซยาไนด์ ให้มีความรัดกุม รอบคอบ และกระชับ ในเรื่องของระยะเวลา ขั้นตอนการพิจารณาสำนวน เพื่อให้สามารถสั่งคดีได้อย่างรวดเร็ว เพราะทุกครั้งพนักงานสอบสวนกว่าจะมีการส่งสำนวนคดีให้กับพนักงานอัยการ ก็กินระยะเวลาฝากขังไปจนถึงผัดที่ 5 หรือผัดที่ 6 ซึ่งจะส่งผลกระทบไปถึงพนักงานอัยการที่มีเวลาให้ตรวจสอบสำนวนน้อยเกินไป
เบื้องต้นจากการพูดคุยในวันนี้ ทำให้ทราบว่า ทางอธิบดีอัยการสั่งตั้งคณะทำงานของพนักงานอัยการเพื่อใช้ในการทำงานในสำนวนคดีนี้ขึ้นเป็นพิเศษ 1 ชุด โดยพนักงานอัยการชุดนี้จะทำหน้าที่ในการพิจารณาสำนวนคดีนี้โดยเฉพาะ เพื่อให้ระยะเวลาในการตรวจสำนวนของพนักงานอัยการมีความรวดเร็วมากขึ้น และในส่วนของพนักงานสอบสวน คาดว่าจะสามารถสรุปสำนวนคดีทั้ง 15 คดี ซึ่งแบ่งเป็นคดีฆาตกรรม 14 คดี และคดีพยายามฆ่า 1 คดี ส่งพนักงานอัยการได้ภายในสัปดาห์หน้า ทั้งนี้ ยังรวมถึงการดำเนินการทางคดีกับคนสนิททั้ง 2 คน คือ อดีตสามีที่เป็นรองผู้กำกับการ และทนายความคนสนิท
หลังจากนี้เมื่อมีการส่งสำนวนคดีของ แอม ไซยาไนด์ ให้กับพนักงานอัยการแล้ว ทางตำรวจก็จะขยายผลดำเนินการในเรื่องของเว็บพนันออนไลน์ที่แอมมีส่วนเกี่ยวข้องในฐานะผู้เล่น รวมถึงตัวยาไซยาไนด์ ซึ่งเบื้องต้นต้องมีการจัดการกับทางโรงงาน และเจ้าหน้าที่ของกรมโรงงานฯ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการละเลย จนทำให้เกิดความเสียหายขึ้น
รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยืนยันอีกว่า ในส่วนของแอม โทษสูงสุดที่ต้องได้รับในครั้งนี้ คือ ประหารชีวิต เนื่องจากมีการกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระ ต่างข้อหา และถูกแจ้งข้อหาจำนวนมาก ซึ่งยังไม่สามารถยืนยันได้ว่า ข้อหาที่ถูกแจ้งจะมีมากถึง 80 ข้อหา ตามที่สื่อมวลชนนำเสนอหรือไม่ เพราะตนเองจำไม่ได้ ต้องกลับไปตรวจสอบก่อน แต่โดนไปหลายสิบข้อหาแน่ๆ ในส่วนของโทษสูงสุด คือ การประหารชีวิต เว้นแต่ว่าตัวผู้ต้องหาจะไปให้การรับสารภาพหรือชั้นการไต่สวน ซึ่งโทษก็จะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลอีกครั้ง
ทั้งนี้ ในส่วนของตัวทนายความ เบื้องต้นขณะนี้ยืนยันยังไม่พบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของเหยื่อ ซึ่งข้อหาที่ดำเนินการยังคงอยู่ในเรื่องร่วมกันทำลายหลักฐานในคดี ซึ่งการดำเนินการหลังจากที่มีการส่งสำนวนให้กับพนักงานอัยการแล้ว ทางตำรวจจะทำหนังสือถึงสภาทนายความ เพื่อให้พิจารณามรรยาททนายความอีกครั้ง. – สำนักข่าวไทย