พรรคการเมืองลุยพื้นที่เปิดหน้าชนไม่เกรงใจกันแล้ว

อสมท. 2 มี.ค. –“วันวิชิต” อาจารย์ภาควิชารัฐศาสตร์ มองพรรคการเมืองลุยลงพื้นที่เร็ว ไม่รอยุบสภา เป็นการเปิดเกมชน หมดเวลาเกรงใจ มีโอกาสตอบโต้จุดอ่อน โชว์จุดแข็งผ่านนโยบายมากขึ้น


นายวันวิชิต บุญโปร่ง อาจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวถึงกรณีพรรคการเมืองเดินหน้าลงพื้นที่หาเสียงจัดเวทีปราศรัยโดยไม่รอวันยุบสภา ว่า นับจากนี้พรรคการเมืองคงไม่รอให้วันยุบสภาเป็นวันที่นับหนึ่งในการหาเสียงแล้ว เพราะการเลือกตั้งใกล้เข้ามาแล้ว และต้องเปิดเกมชนอย่างตรงไปตรงมา หมดเวลาเกรงใจกันแล้ว เพราะท้ายที่สุดความได้เปรียบทางการเมืองคือตัวเลขที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามา ถ้าได้เกินเป้าหรือตามเป้า อำนาจต่อรองจะยิ่งมากขึ้น ที่สำคัญเป็นการทบทวนว่าตลอด4 ปีที่ผ่านมาแต่ละพรรคการเมืองมีผลงานอะไรบ้าง ติดขัดอุปสรรคปัญหาอย่างไร เพราะอาจมีบางพรรคการเมืองที่เล่นการเมืองแบบตัดแข่งตัดขาจะได้ชี้แจงกับประชาชนได้ถูก

นายวันวิชิต กล่าวว่า การทำการเมืองต่อเนื่องหลายวันจะได้แก้เกม แก้แท็คติก และยังได้ โปรโมทนโยบายใหม่ ๆ ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อแต่ละพรรคมีนโยบายออกมาก็จะเกิดการเปรียบเทียบ ระหว่างนโยบายเก่ากับนโยบายใหม่และยังมีพรรคการเมืองอื่นด้วย จากนั้นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งก็จะมาเลือกว่านโยบายใดที่จูงใจและสร้างเงื่อนไขให้ตัวเองได้รับประโยชน์ เพราะฉะนั้นการทำนโยบายในการหาเสียงกกต. ต้องตรวจทานว่าเป็นนโยบายที่ทำได้หรือโฆษณาเกินจริง


“แต่ที่ผ่านมามีหลายพรรคการเมือง พอมาเป็นรัฐบาลก็ไม่ได้ทำตามนโยบายที่หาเสียงเอาไว้ จะอ้างเรื่องงบประมาณหรือปัจจัยแทรกอื่นอย่างสถานการณ์ โควิด-19 แม้ดูว่าเป็นคำแก้ตัวแต่ก็ชี้ให้เห็นถึงประสิทธิภาพของพรรคการเมืองนั้น ๆ เช่น พรรคภูมิใจไทย มีนโยบายกัญชา ขับเคลื่อนโครงสร้างคมนาคมถือว่ามีความโดดเด่น แม้ว่าจะถูกจับผิดวิพากษ์วิจารณ์ แต่อย่างน้อยการบรรลุเป้า ทำตามนโยบายก็เห็นแนวคิด ความรู้สึกและกระแทกไปถึงประชาชนว่าตอบรับมากน้อยแค่ไหน หากไม่ดีก็หยุด หากดีก็ทำต่อเนื่อง” นายวันวิชิต กล่าว

นายวันวิชิต กล่าวว่า นโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่พรรคพลังประชารัฐและพรรครวมไทยสร้างชาติประกาศออกมาก็แสดงให้เห็นว่า เรื่องนี้จะเป็นการกระตุ้นไปยังฐานเสียงของกลุ่มคนที่มีรายได้น้อย ส่วนพรรคเพื่อไทยก็โยนนโยบายแนวคิดเงินเดือนขั้นต่ำปริญญาตรี 25,000 บาท ตามเงื่อนไขความสามารถ และค่าแรงขึ้นต่ำตามขึ้นบันไดภายใน 4 ปี แน่นอนว่าเป็นนโยบายดึงดูดและนำไปสู่การกระตุ้นความรู้สึกว่านำไปเปรียบเทียบกับรัฐบาลที่ผ่านมาแนวคิดที่แปลกใหม่หรือความมั่นใจที่พรรคเพื่อไทยคิดว่ามีโอกาสซึ่งก็เป็นทางเลือกอีกแบบนึง ขณะที่พรรคก้าวไกลมีความโดดเด่นเน้นเรื่องการปฏิรูปทั้งการเมือง กองทัพ และระบบสวัสดิการต่าง ๆ ซึ่งต้องการพุ่งเป้าไปยังฐานเสียงที่สนับสนุนพรรคก้าวไกล จึงเป็นช่วงที่ต่างฝ่ายต่างเน้นจุดแข็งของตนเอง เพื่อนำไปสู่การแข่งขัน

“ในช่วงแรกของการหาเสียง แต่ละพรรคการเมืองจะเน้นไปที่นโยบายเบื้องต้นและกลุ่มฐานเสียงของแต่ละพรรค ส่วนกระบวนการต่อไปจะเป็นการเปรียบเทียบจุดแข็งและจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้าม เพื่อเชิญชวนว่าทำไมต้องเลือกนโยบายของพรรค จะเห็นว่าในช่วงหลังตอบโต้ลักษณะว่านโยบายเช่นนั้นทำไม่ได้จะเอาเงินงบประมาณมาจากไหน ซึ่งเป็นการลดคุณค่าหรือโจมตีไปยังจุดอ่อน พรรคที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ก็ต้องแก้ต่าง หรือสร้างชุดคำอธิบายมาทักท้วง ซึ่งวิธีการนี้ทำให้สังคมมีความสร้างสรรค์ เกิดการแลกเปลี่ยน และนำนโยบายของแต่ละพรรคการเมืองมาศึกษา พูดคุยกันมากกว่าการโจมตีใส่ร้ายกัน เป็นการยกระดับคุณภาพการหาเสียง เมื่อก่อนจะใช้รูปแบบการกล่าวหากันโดยตรงว่าพรรคการเมืองนั้นซื้อเสียง พรรคนั้นคอรัปชั่น และอาจจะเป็นเพราะกฎหมาย การเลือกตั้งว่าหากมีการหาเสียงแบบใส่ร้ายป้ายสีก็อาจถูกฟ้องและถูกยุบพรรคได้ และทำให้เกิดอุปสรรคเท่ากับเป็นการบังคับให้ทุกภาพอยู่ในเกมที่สร้างสรรค์” นายวันวิชิต กล่าว


ส่วนรูปแบบที่พรรคการเมืองจะใช้สู้ศึกเลือกตั้งจะเปลี่ยนไป เน้นใช้นโยบายหาเสียงมากกว่าการโจมตี ซึ่งเป็นจากการเมืองแบบเดิมใช่หรือไม่ นายวันวิชิต  กล่าวว่า แน่นอนว่าการต่อสู้เชิงนโยบายจะแตกแขนงหลากหลายมากขึ้น จะเห็นได้ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่การเลือกตั้งในปี 2562 โดยเฉพาะเวทีดีเบตที่ไม่ยึดติดตัวบุคคล ว่าต้องเป็นระดับหัวหน้าพรรคหรือแกนนำระดับต้น แต่พบว่ามีผู้เชี่ยวชาญแต่ละเรื่องของแต่ละพรรค เช่น นโยบายด้านพลังงาน นโยบายด้านความมั่นคง ฯ ซึ่ง แต่ละพรรคการเมืองก็จะส่งขุนพลที่ไม่จำเป็นต้องเป็นหัวหน้าพรรคมา เพื่อสร้างความหลากหลายและถือเป็นอาวุธเด็ด ว่าแต่ละพรรคมีบุคลากรที่มีความหลากหลาย มากความสามารถนำไปสู่การจูงใจ และดึงดูดใจประชาชนได้ศึกษากึ๋น และเห็นแนวทางของแต่ละพรรคการเมือง ว่านโยบายทำได้จริงหรือโฆษณาชวนเชื่อเท่ากับว่าเวทีดีเบตแบบนี้ ทำให้ประชาชน ได้เห็นและเรียนรู้ไปด้วยกันขณะเดียวกันเป็นการบังคับให้แต่ละพรรคการเมืองต้องปรับตัว หากไม่มีความพร้อมทุกมิติอย่างรอบด้าน ทุกนโยบาย พรรคนั้นอาจจะไม่ได้รับการเชิญไปร่วมเวทีดีเบตสุดท้ายก็จะเป็นตัววัดว่าพรรคไหนมีความเจนจัดรอบด้านเรื่องนโยบายมากกว่ากัน เป็นเรื่องเรียงลำดับของพรรคที่มีโอกาสจัดตั้งรัฐบาล และการออกเวทีดีเบต จะทำให้เห็นถึงการชิงไหวชิงพริบกันมากขึ้น

เมื่อถามว่าตัวบุคคลมีความสำคัญอย่างไร อย่างกรณีพรรคเพื่อไทยเปิดตัวนายเศรษฐา ทวีสิน ในช่วงนี้ นายวันวิชิต กล่าวว่า เป็นการยกระดับความมั่นใจ และเป็นการทำให้เห็นถึงความหลากหลาย ซึ่งกรณีของนายเศรษฐาเป็นการโยนก้อนหินถามทางมาหลายเดือนแล้ว และยังไม่แน่ชัดว่าจะเข้ามาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ แต่การเข้ามาเป็นที่ปรึกษาทีมเศรษฐกิจ ช่วยสะท้อนภาพให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยจริงจังกับการแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจ ถือเป็นการจุดประกายความหมาย ว่าต้องการเอาชนะในพื้นที่เขตเมือง ต้องยอมรับว่าในต่างจังหวัดพรรคเพื่อไทยถือว่ามีฐานเสียง ดังนั้นการมีมือเศรษฐกิจระดับมืออาชีพ ประสบความสำเร็จ ผ่านแวดวงธุรกิจมาก่อน จะเพิ่มน้ำหนักความน่าเชื่อถือมากขึ้น พร้อมมองว่าจากนี้คนระดับมีชื่อเสียงของแต่ละพรรคการเมือง ถ้าจะไปดีเบตแบบแข่งขันซึ่งหน้า อาจจะเลี่ยง เพราะบางพรรคการเมืองระดับแกนนำไม่เจนจัดในการพูด แต่อาจเลือกวิธีการพูดเปิดใจมากกว่า เชื่อว่าจะได้เห็นแบบนี้มากขึ้น

ส่วนการเลือกตั้งจะจะดุเด็ด เผ็ดมันส์เพียงใด เพราะตอนนี้ก็เริ่มโจมตีดิสเครดิตกันแล้ว นายวันวิชิต กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าข่าวลือ หรือเฟคนิวส์ เริ่มมีมากขึ้นรายวัน อาจมาจากความไม่พอใจ ซึ่งประชาชนต้องดูว่านี่เป็นเกมการเมือง เห็นความไม่ตรงไปตรงมาทางการเมืองก็น่าจะปล่อยของออกมานานแล้ว แต่ดันมาปล่อยช่วงการเลือกตั้งเมือง เป็นการลดคุณค่า อย่างกรณี นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ กับพรรคภูมิใจไทยก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเรื่องการเมืองล้วน เป็นการเมืองที่มีเรื่องเบื้องหลัง และใช้ความมีวาทะศิลป์ของนายชูวิทย์ หากมองในมุมการเมืองก็จะรู้ว่านี่คือการเคลื่อนไหวที่ไม่ปกติ แต่จะไปกระทบกับความรู้สึกของคนที่ไม่ได้สนใจการเมืองอย่างจริงจังกับน้ำหนักที่นายชูวิทย์กล่าว นี่ไม่ใช่กรณีแรกอาจมีกรณีบุคคลที่มีชื่อเสียงออกมาร้องเรียน เปิดโปง ส่วนหลักฐานจะมีหรือไม่ไม่ทราบ แต่เพื่อให้สังคมคล้อยตาม ซึ่งการทำให้มีเฟคนิวส์ลักษณะนี้เชื่อว่าจะมีไปจนถึงวันเลือกตั้ง

“การแข่งขันนโยบายเป็นการชี้วัดว่าประชาชนต้องการ ทิศทางประเทศอย่างไรทั้งเศรษฐกิจสังคม หากนโยบายไหนถูกใจกระชากใจประชาชนก็จะเป็นทิศทางบังคับว่าประเทศไทยจะก้าวไปในทางใดซึ่งการชูนโยบายในการแข่งขันทำให้พรรคการเมืองเป็นสถาบันทางการเมืองมากขึ้นไม่ยึดโยงกับปัจเจกบุคคลไม่ยึดโยงกับจิตวิญญาณของพรรคแต่ยึดโยงเรื่องการต่อสู้เชิงนโยบายที่สร้างสรรค์มากขึ้น” นายวันวิชิต กล่าว.-สำนักข่าวไทย  

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เหล้าเถื่อนลาว

เสียชีวิตรายที่ 6 คลัสเตอร์เหล้าเถื่อนในลาว

คลัสเตอร์เหล้าเถื่อนในลาว มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเสียชีวิตเพิ่มรายที่ 6 เป็นหญิงชาวออสเตรเลีย เสียชีวิตขณะรักษาตัวในไทย

ย้ายเจ้ากรมยุทธศึกษา ทบ.

ย้ายเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก ช่วยปฏิบัติราชการที่กองบัญชาการกองทัพบก หลังถูกร้องทำร้ายร่างกายผู้ใต้บังคับบัญชา พร้อมช่วยเจ้าทุกข์ย้ายหน่วยตามร้องขอ

ไฟไหม้โรงงานพัดลม เผาวอดเสียหายกว่า 50 ล้าน

ไฟไหม้โรงงานผลิตพัดลมรายใหญ่ จ.สมุทรสาคร ระดมรถดับเพลิงระงับเหตุ กว่า 5 ชม. จึงควบคุมไว้ได้ในวงจำกัด เบื้องต้นเสียหายกว่า 50 ล้านบาท

ข่าวแนะนำ

ภรรยาหมอบุญมอบตัว

“ภรรยา-ลูก” หมอบุญ อ้างถูกปลอมลายเซ็น ไม่เคยรู้การกระทำใดๆ

ทนายความภรรยา-ลูก หมอบุญ เผยถูกปลอมลายเซ็นเอกสาร ไม่เคยรับรู้การกระทำใดๆ ของหมอบุญ โดนภรรยาได้หย่าร้างกับหมอบุญ ก่อนปี 66

เลือกตั้ง อบจ.

“แสวง” ลงพื้นที่สังเกตการณ์เลือกตั้ง นายก อบจ.อุดรธานี

“เลขาฯ แสวง” ลงพื้นที่ตรวจรับ-มอบอุปกรณ์เลือกตั้ง นายก อบจ.อุดรธานี พร้อมสังเกตการณ์เลือกตั้งพรุ่งนี้ (24 พ.ย.) วอนประชาชนออกมาใช้สิทธิ 8.00-17.00 น.

จับหมอดังฟอกเงิน

ออกหมายจับ “หมอดัง” พร้อมพวกรวม 9 คน “ฉ้อโกง-ฟอกเงิน”

ตำรวจออกหมายจับ “หมอดัง” พร้อมพวกรวม 9 คนข้อหา “ฉ้อโกง-ฟอกเงิน” ล่าสุดจับได้แล้ว 6 คน ส่วนอีก 3 คน อยู่ระหว่างติดตามตัว เบื้องต้นมีข้อมูลว่า “หมอดัง” หนีออกนอกประเทศตั้งแต่ ก.ย.ที่ผ่านมา