กรุงเทพฯ 22 พ.ค.-ผู้บัญชาการทหารบก ประณามผู้ก่อเหตุระเบิดพระมงกุฏฯ หวังชีวิตประชาชน ระบุเชื่อมโยงเหตุที่กองสลาก-โรงละครแห่งชาติ
พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เปิดเผยผลการประชุมหน่วยข่าวด้านความมั่นคงที่กองบัญชาการกองทัพบก ภายหลังเกิดเหตุระเบิดที่โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า ว่า ขอประณามการกระทำดังกล่าว ที่ผู้ก่อเหตุหวังถึงชีวิต เนื่องจากพบวัสดุที่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต และจากการติดตามข่าวพบว่าผู้ก่อเหตุเป็นกลุ่มเดียวกันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่หน้ากองสลากกินแบ่งรัฐบาล (เก่า) และโรงละครแห่งชาติ
“ยอมรับว่ายังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นฝีมือของกลุ่มใด แต่เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีได้อย่างแน่นอน และขอความร่วมมือจากประชาชนที่อยู่ในเหตุการณ์เมื่อช่วงเช้า(22 พ.ค.) ส่งเบาะแสให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนต่อไปด้วย” ผู้บัญชาการทหารบก กล่าว
พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า จากการประชุมคสช.ประมาณครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาได้ข้อสรุปว่าจากนี้จะวางมาตรการการดูแลความปลอดภัยประชาชน 10ประการ รวมถึงเพิ่มกำลังคนในการดูแลสถานที่สำคัญ โดยจะกำชับกองกำลังรักษาความเรียบร้อยทั้ง 4 ภาค เพื่อดูแลความปลอดภัยประชาชนเพิ่มมากขึ้น
“กองทัพภาคที่ 1 ดูแลพื้นที่เป็นอย่างดีแล้ว แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เปิด ซึ่งยากต่อการป้องกันแต่เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าจะเพิ่มมาตรการให้มากขึ้น โดยจะปรับแผนการรักษาความปลอดภัยในเขตที่ประชาชนพลุกพล่านและเขตพระราชฐาน แต่จะไม่ใช้กฎหมายพิเศษดูแลเหตุความเรียบร้อย” ผู้บัญชาการทหารบก กล่าว
เมื่อถามย้ำว่า การก่อเหตุดังกล่าวเป็นการท้าทายและดิสเครดิตรัฐบาลในช่วงที่บริหารงานครบ 3 ปีหรือไม่ พล.อ.เฉลิมชัย ปฏิเสธที่จะระบุว่ามาจากสาเหตุดังกล่าว แต่คิดว่าผู้ที่ก่อเหตุคิดว่าได้เลือกช่วงเวลาที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม ขอความร่วมมือประชาชนและผู้ประกอบการให้ช่วยสอดส่องดูแลและเป็นหูเป็นตาให้เจ้าหน้าที่ด้วย เพื่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองด้วย
ขณะที่ พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า ยังมีความพยายามของผู้ก่อเหตุที่จะลงมือกระทำอีก ซึ่งผู้บัญชาการทหารบกกำชับเจ้าหน้าที่ทั้งในและนอกเครื่องแบบเพิ่มมาตรการดูแลสถานที่สำคัญต่าง ๆ ให้มากขึ้น โดยแบ่งมาตรการออกเป็น 3 ส่วน ทั้งการบูรณาการความร่วมมือของเจ้าหน้าที่และประชาชน การติดตั้งกล้องวงจรปิด และการบูรณาการด้านการข่าว.-สำนักข่าวไทย
ชมคลิปผ่านยูทูบ