กรุงเทพฯ 3 ก.พ. – รมว. วราวุธเผย คุณภาพอากาศในกรุงเทพฯ วันนี้ดีขึ้น โดยปริมาณฝุ่น PM2.5 ลดลงเนื่องจากการยกระดับมาตรการลดแหล่งกำเนิดฝุ่น แต่ภาคเหนือยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเนื่องจากปริมาณจุดความร้อนมาก จึงจะเปิดศูนย์บัญชาการควบคุมไฟป่าส่วนหน้าในภาคเหนือเพื่อป้องกันและควบคุมไฟป่า ตลอดจนบูรณาการกับทุกหน่วยงานควบคุมการเผาในที่โล่ง
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกล่าวว่า คุณภาพอากาศในกรุงเทพมหานครวันนี้เริ่มดีขึ้น หลังจากที่รุนแรงถึงระดับ 3 ต่อเนื่อง 3-4 วันและบางพื้นที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ทั้งนี้เกิดจากการยกระดับมาตรการแหล่งกำเนิดฝุ่น โดยได้ประสานกับผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเพื่อแนะนำให้ขอความร่วมมือภาคส่วนต่างๆ Work from home (Wfh) เพื่อลดความคับคั่งของการจราจรซึ่งเป็นต้นกำเนิดหลักของพื้นที่กรุงเทพมหานครและเมืองใหญ่ต่างๆ คิดเป็น 70% ควบคุมการนำรถควันดำเข้าพื้นที่ ตลอดจนให้สถานที่ก่อสร้างต่างๆ ปิดม่านบังฝุ่นให้มิดชิด และตรวจโรงงานอุตสาหกรรมอย่างเข้มงวด นอกจากนี้นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยังทำหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดปริมณฑลเพื่อขอความร่วมมือควบคุมการเผาในที่โล่งแจ้ง
การยกระดับมาตรการลดแหล่งกำเนิดฝุ่นและป้องกันสุขอนามัยของประชาชน ทำให้ปริมาณฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งตรวจวัดโดยสถานีตรวจวัดของกรมควบคุมมลพิษร่วมกับกรุงเทพมหานครลดลงจากวานนี้ โดยวันนี้อยู่ที่ 54 – 119 มคก./ลบ.ม. เปรียบเทียบกับเมื่อวานนี้ซึ่งตรวจวัดได้ 62 – 139 มคก./ลบ.ม. แต่ส่วนใหญ่แล้วปริมาณฝุ่นยังเกินค่ามาตรฐาน โดยกรมควบคุมมลพิษคาดการณ์ว่า จะต้องเฝ้าระวังต่อเนื่องจนถึงวันพรุ่งนี้
นายวราวุธกล่าวว่า ดัชนีคุณภาพอากาศในภาคอื่นๆ ทรงตัว แต่ที่ยังต้องเฝ้าระวังอีกพื้นที่หนึ่งคือ ภาคเหนือ วันนี้ตรวจวัดได้ 34 – 154 มคก./ลบ.ม. โดยบางพื้นที่ปริมาณฝุ่นเพิ่มขึ้น เปรียบเทียบกับเมื่อวานนี้ซึ่งตรวจวัดได้ 43 – 119 มคก./ลบ.ม. ดังนั้นในวันที่ 6 กุมภาพันธ์จะเดินทางไปยังจังหวัดเชียงใหม่เพื่อเปิดศูนย์บัญชาการควบคุมไฟป่าส่วนหน้า โดยจะกำชับเกี่ยวกับการป้องกันและควบคุมไฟป่า พร้อมบูรณาการกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องป้องกันและควบคุมการเผาในที่โล่ง ทั้งพื้นที่ป่าและพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งจะลดจุดความร้อนเพื่อแก้ปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM 2.5 ด้วย
ศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.) รายงานการติดตามตรวจสอบคุณภาพอากาศ ประจำวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566 ณ 07:00 น พบว่า ปริมาณ PM2.5 ในประเทศพบเกินค่ามาตรฐานใน 43 จังหวัดได้แก่ จ.ปทุมธานี กรุงเทพฯ จ.นนทบุรี จ.นครปฐม จ.สมุทรสาคร จ.สมุทรปราการ จ.เชียงราย จ.เชียงใหม่ จ.น่าน จ.แม่ฮ่องสอน จ.พะเยา จ.ลำปาง จ.แพร่ จ.ลำพูน จ.อุตรดิตถ์ จ.สุโขทัย จ.ตาก จ.พิษณุโลก จ.กำแพงเพชร จ.พิจิตร จ.เพชรบูรณ์ จ.นครสวรรค์ จ.อุทัยธานี จ.สิงห์บุรี จ.ลพบุรี จ.สระบุรี จ.สุพรรณบุรี จ.พระนครศรีอยุธยา จ.ราชบุรี จ.สมุทรสงคราม จ.เพชรบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ จ.สระแก้ว จ.ฉะเชิงเทรา จ.ชลบุรี จ.บึงกาฬ จ.เลย จ.อุดรธานี จ.นครพนม จ.หนองบัวลำภู จ.ชัยภูมิ จ.นครราชสีมา และจ. บุรีรัมย์ แต่จำนวนพื้นที่ที่ปริมาณ PM2.5 เกินค่ามาตรฐานวันนี้ลดลงจากเมื่อวานนี้ โดยเมื่อวานนี้เกินค่ามาตรฐาน 52 จังหวัด
ส่วนผลการตรวจวัดตามรายภาคมีดังนี้
– ภาคเหนือ เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 34 – 154 มคก./ลบ.ม.
– ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 29 – 96 มคก./ลบ.ม.
– ภาคกลางและตะวันตก เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 48 – 117 มคก./ลบ.ม.
– ภาคตะวันออก เกินค่ามาตรฐาน 4 พื้นที่ ตรวจวัดได้ 32 – 79 มคก./ลบ.ม.
– ภาคใต้ ภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ดีมาก ตรวจวัดได้ 10 – 25 มคก./ลบ.ม.
– กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 54 – 119 มคก./ลบ.ม.
นายวราวุธกล่าวว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะร่วมกับทุกหน่วยงานดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” และ “แผนเฉพาะกิจเพื่อการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง ปี 2566” ด้วยการประชาสัมพันธ์เชิงรุกและแจ้งเตือนล่วงหน้า 7 วันทุกพื้นที่ ยกระดับการบริหารจัดการเชื้อเพลิงแบบครบวงจร (ชิงเก็บ ลดเผา และ Burn Check) ลดจุดความร้อน ป้องกันและควบคุมการเกิดไฟในทุกพื้นที่ และพัฒนาระบบพยากรณ์ ความรุนแรงและอันตรายของไฟ (Fire Danger Rating System : FDRS) เป็นต้น รวมทั้งขอความร่วมมือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ทำความเข้าใจกับเกษตรกรเพื่อลดปริมาณการเผาในพื้นที่ ตลอดจนกำชับให้มีการบริหารจัดการเชื้อเพลิงในแต่ละพื้นที่แบบครบวงจร ทั้งการชิงเก็บ ลดเผา และการจัดระเบียบการเผาโดยใช้แอปพลิเคชัน Burn Check เพื่อลงทะเบียนและจองเวลาในการเผาล่วงหน้า ไม่ให้เผาพร้อมๆ กัน จนเกินกว่าที่สภาพอากาศจะระบายฝุ่นได้ นอกจากนี้ยังมอบหมายให้กรมควบคุมมลพิษประสานสำนักเลขาธิการอาเซียนเพื่อให้ประเทศเพื่อนบ้านเร่งจุดความร้อนเพื่อลดหมอกควันข้ามพรมแดนด้วย จึงขอให้ประชาชนมั่นใจว่า ภาครัฐกำลังเร่งแก้ปัญหาอย่างเต็มที่เพื่อดูแลและป้องกันสุขอนามัยของประชาชน.-สำนักข่าวไทย
