ลุยดับไฟป่าลดฝุ่น PM2.5 เตือน! เผาป่าเจอโทษหนัก​

ทำเนียบ 28 มี.ค.- รัฐบาลเดินหน้าดับไฟป่าลดฝุ่นละออง PM2.5 ขณะที่กรมอุทยานฯ คุมเข้มบังคับใช้กฎหมายแก้ปัญหาไฟป่าต่อเนื่อง เตือน! เผาป่าเจอโทษหนัก​บวกจ่ายค่าฟื้นฟู​ 1.2 แสนดำเนินคดีแล้ว 63 คดี


นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ไฟป่าที่เกิดขึ้นขณะนี้ รัฐบาล โดยทุกส่วนราชการร่วมมือบูรณาการแก้ไขปัญหาไฟป่าและฝุ่นละออง PM2.5 อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกรมอุทยานแห่งชาติได้ดำเนินการปฏิบัติการเฝ้าระวัง ควบคุมไฟป่า และหมอกควัน ในพื้นที่ 14 กลุ่มป่า พร้อมกับลงพื้นที่ทำงานภาคสนามของเจ้าหน้าที่ร่วมกับประชาชนในพื้นที่ โดยการใช้เทคโนโลยีในการดับไฟและตรวจหาไฟป่า การประชาสัมพันธ์เชิงรุกงดเผาป่า และบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น​ ลงโทษผู้ลักลอบเผาป่าอย่างจริงจัง

ทั้งนี้ จากรายงานสถานการณ์จุดความร้อน (Hotspot) ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 – 27 มีนาคม 2568 มีจุดความร้อนสะสมทั้งประเทศ จำนวน 80,312 จุด โดยเกิดในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ จำนวน 20,772 จุด พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ จำนวน 23,804 จุด และนอกพื้นที่ป่า จำนวน 35,736 จุด ขณะที่ สถานการณ์จุดความร้อนที่เกิดขึ้นนั้นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาและร่วมมือป้องกันไฟป่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร่วมมือจากประชาชนในการงดการเผาในพื้นที่ป่า เนื่องจากสาเหตุหลักของการเกิดไฟป่าในประเทศไทยนั้นเกิดจากมนุษย์ที่มีพฤติกรรมต่างๆ ในการเผา ไม่ว่าจะเป็น (1) การเก็บหาของป่า เช่น ไข่มดแดง เห็ด ผักหวาน และไม้ฟืน ซึ่งจุดไฟส่วนใหญ่เพื่อให้พื้นป่าโล่ง เดินสะดวก หรือให้แสงสว่างในเวลากลางคืน


(2) การลักลอบล่าสัตว์ ในการจุดไฟไล่ให้สัตว์หนีออกจากที่ซ่อน หรือจุดไฟเผาทุ่งหญ้า เพื่อให้หญ้าใหม่แตกระบัด ล่อดักยิงให้สัตว์ชนิดต่างๆ ขณะมากินอาหาร (3) การบุกรุกตัดไม้ในพื้นที่ป่า จุดเผาเพื่อให้ป่าโล่งเตียนและสะดวกในการชักลากไม้ (4) การเลี้ยงปศุสัตว์ ที่ประชาชนบริเวณใกล้พื้นที่ป่าปล่อยให้สัตว์หากินเองตามธรรมชาติ และจุดไฟเผาป่าให้โล่งมีสภาพเป็นทุ่งหญ้าเพื่อเป็นแหล่งอาหารสัตว์ (5) การเผาไร่ เพื่อกำจัดวัชพืชหรือเศษซากพืชที่เหลืออยู่ภายหลังการเก็บเกี่ยว เพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูกในรอบต่อไปโดยปราศจากการควบคุมลามเข้าป่าที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง

(6) การแกล้งจุดหรือการกลั่นแกล้งเจ้าหน้าที่ในกรณีที่ประชาชนในพื้นที่มีปัญหาความขัดแย้งกับหน่วยงานของรัฐในพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเรื่องที่ทำกินหรือถูกจับกุมจากการกระทำผิดในเรื่องป่าไม้ และ (7) การประมาท ที่อาจเกิดจากการเข้าไปพักแรมในป่า ก่อกองไฟแล้วลืมดับ หรือการทิ้งบุหรี่ที่ทำให้ประกายไฟลุกลามจนเกิดเป็นไฟป่าขนาดใหญ่ได้ ซึ่งกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้ทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติเป็นจำนวนมาก ส่งผลกระทบต่อแหล่งอาหารและชีวิตสัตว์ป่า อีกทั้งส่งผลต่อปัญหาหมอกควัน ฝุ่นละออง และPM2.5 ที่มีสถานการณ์รุนแรงในปัจจุบัน

นายคารม กล่าวว่า สำหรับในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มีมาตรการเชิงรุกในการบังคับใช้กฎหมาย ดำเนินคดีที่เกี่ยวข้องกับการเผาป่าอย่างจริงจัง โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ดำเนินการจับกุมผู้กระทำความผิดในพื้นที่ป่าอนุรักษ์แล้วทั้งสิ้น จำนวน 63 คดี ผู้ต้องหา 21 คน พื้นที่เสียหาย 2,772 -0 -64.25 ไร่ และกรมป่าไม้ ดำเนินการในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติแล้วทั้งสิ้น จำนวน 94 คดี พื้นที่เสียหาย 6,044 ไร่ (ข้อมูล ณ วันที่ 27 มี.ค. 68) ทั้งนี้ การกระทำความผิดฐานเผาป่า นอกจากจะถูกดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 มีโทษจำคุกตั้งแต่ 4-20 ปี และปรับตั้งแต่ 400,000-2,000,000 บาท ยังมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสามารถลงโทษเพิ่มเติมได้ตามความเสียหายที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ ผู้กระทำผิดจะต้องรับผิดทางแพ่งต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับทรัพยากรป่าไม้ในอัตราไร่ละ 120,000 บาท โดยเงินค่าเสียหายนี้จะนำไปใช้ในการฟื้นฟูสภาพป่าและระบบนิเวศที่ถูกทำลายจากไฟป่า .314.-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

รถทัวร์โดยสารชนท้ายเทรลเลอร์ เสียชีวิต-บาดเจ็บจำนวนมาก

รถทัวร์โดยสารชนท้ายรถบรรทุกเทรลเลอร์ บนถนนสาย 304 จังหวัดปราจีนบุรี ทำให้ไฟลุกไหม้รถทัวร์โดยสาร เบื้องต้นมีรายงานผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจำนวนมาก

ชาวบ้านยอมรับค่าเยียวยาหลังละ 1 หมื่นบาท จากเจ้าของที่ดิน

ชาวบ้านยอมรับการเยียวยา บ้านละ 1 หมื่นบาท จากเจ้าของที่ดินใน จ.ระยอง หลังถมที่สูงมิดหลังคาของเพื่อนบ้าน และรับปากจะเร่งแก้ไขให้ทันหน้าฝนที่จะถึงนี้ แต่ชาวบ้านยังหวั่นใจ หากแก้ไขไม่ทันก็ยังจะเดือดร้อน น้ำจะไหลลงมาบ้านที่อยู่ต่ำกว่า

“พีช” หอบเงิน 2 แสน หวังจ่ายค่ารักษาลุงป้า แต่ญาติชิงจ่ายแล้ว

“นายกเบี้ยว” พร้อมลูกชาย หอบเงิน 2 แสน หวังจ่ายค่ารักษาลุงป้า แต่ญาติชิงจ่ายก่อนแล้ว จึงฝากจดหมายขอโทษไว้ ด้าน “กัน จอมพลัง” ยอมถอย ให้สองฝ่ายพูดคุย แต่ต้องเป็นรูปธรรม

ข่าวแนะนำ

รวบทันควัน คนร้ายบุกเดี่ยวชิงเงินธนาคาร

จับแล้ว คนร้ายบุกเดี่ยวชิงทรัพย์ธนาคารกลางเมืองเชียงใหม่ ได้เงินสดกว่า 40,000 บาท ก่อนวิ่งหลบหนี ล่าสุดจนมุมตำรวจรวบตัวได้ที่ศาลาริมทางข้างถนน

โป๊ปฟรังซิส สิ้นพระชนม์แล้ว ขณะพระชนมายุ 88 พรรษา

สำนักวาติกัน แถลงผ่านทางโทรทัศน์ของสำนักวาติกันว่า สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส พระประมุขแห่งพระศาสนจักรโรมันคาทอลิกและพระประมุขแห่งนครรัฐวาติกันสิ้นพระชนม์แล้วในวันนี้

Pope inaugurated the Holy Year on Christmas Eve on December 24, 2024

เปิดพระประวัติโป๊ปฟรังซิส

วาติกัน 21 เม.ย.- เว็บไซต์ข่าวโทรทัศน์ซีเอ็นบีซี (CNBC) ของสหรัฐ เปิดพระประวัติที่น่าสนใจ 10 ประการของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส พระประมุขแห่งพระศาสนจักรโรมันคาทอลิกและพระประมุขแห่งนครรัฐวาติกัน ที่สิ้นพระชนม์วันนี้ (21 เม.ย.68) ขณะมีพระชนมายุ 88 พรรษา ประการที่ 1 ทรงเป็นพระสันตะปาปาลาตินอเมริกันและเยสุอิตคนแรก สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส มีพระนามเดิมว่า ฮอร์เก มาริโอ เบร์โกกลิโอ ประสูติวันที่ 17 ธันวาคม 2479 ที่กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา เป็นพระสันตะปาปาลาตินอเมริกันคนแรกของพระศาสนจักรโรมันคาทอลิก แตกต่างจากผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งพระสันตะปาปาเกือบ 200 คน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากอิตาลี ทรงมาจากนอกทวีปยุโรปในฐานะพระสันตะปาปาพระองค์ที่ 266 และเป็นนักบวชคณะเยสุอิตคนแรกที่ขึ้นดำรงตำแหน่งพระสันตะปาปา ประการที่ 2  ทรงมีพื้นเพมาจากอิตาลี แม้ว่าสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสประสูติในอาร์เจนตินา แต่ท่านมีมรดกทางชาติพันธุ์จากอิตาลี จากการที่บิดามารดาเป็นผู้อพยพชาวอิตาลี บิดาทำงานเป็นนักบัญชีในทางรถไฟ ขณะที่มารดาอุทิศตนให้กับการเลี้ยงลูกทั้ง 5 คน ประการที่ 3 ทรงศึกษาด้านเคมีและปรัชญา สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสศึกษาปรัชญาและมีปริญญาโทในด้านเคมีจากมหาวิทยาลัยบัวโนสไอเรส ทรงศึกษาในโรงเรียนเทคนิคและได้ฝึกอบรมเป็นช่างเทคนิคเคมี ก่อนเข้าเรียนที่โรงเรียนสอนศาสนาแห่งอัครสังฆมณฑลบิญญา เดโวโต […]