กรุงเทพฯ 25 ม.ค.- สืบสวนนครบาลรวบ “นัท สามโคก” โพสต์หลอกขายอะไหล่รถยนต์ในเฟซบุ๊ก พบประวัติเคยถูกจับแล้วในคดีฉ้อโกงประชาชน แต่ตัดกำไล EM หลบหนีช่วงประกันตัว มาก่อเหตุซ้ำอีกเพียบ
ตามนโยบายของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ให้ปราบปรามกลุ่มองค์กรอาชญากรรมที่กระทำความผิดในโลกออนไลน์ทุกรูปแบบที่สร้างความเดือนร้อนให้ประชาชนผู้สุจริตจำนวนมาก ชุดลาดตระเวนออนไลน์ บก.สส.บช.น. สืบสวนจับกุมนายกิจติชัย หรือนัท สามโคก บุคคลมีพฤติการณ์สร้างเฟซบุ๊กเข้าไปโพสต์หลอกขายสินค้าจำพวกอะไหล่รถยนต์ในกลุ่มเฟซบุ๊กต่างๆ สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนอย่างมากเ ช่นเดียวกับนายนิว สามโคกพี่ชาย (ถูก บก.สส.บช.น.จับกุมเมื่อเดือนมกราคม 2566)
โดยจากการตรวจสอบประวัติคดีของนายนัท ในฐานข้อมูลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เจ้าหน้าที่ชุดลาดตระเวนออนไลน์พบว่าเป็นบุคคลที่หากปล่อยให้อยู่ในสังคมต่อไป เชื่อว่าจะเป็นอันตรายต่อประชาชนเนื่องจากนายนัท เคยถูกจับกุมในคดีความผิดเกี่ยวกับฉ้อโกงประชาชน ท้องที่ สภ.ศรีเทพ ภ.จว.เพชรบูรณ์ แต่ได้รับการประกันตัวในชั้นศาลและติดกำไล EM แต่ได้ทำการตัดสายกำไล EM เพื่อหลบหนีช่วงประกันตัว โดยย้ายที่อยู่และยังไม่เลิกพฤติกรรม กลับไปก่อเหตุสร้างเฟซบุ๊กเข้าไปหลอกขายอะไหล่รถยนต์มือสอง สร้างความเดือดร้อนให้แก่พี่น้องประชาชน เป็นบุคคลที่มีพฤติการณ์กระทำความผิดซ้ำซาก ไม่เข็ดหลาบ ถือเป็นภัยบนโลกออนไลน์ต่อสังคมและประชาชนรายสำคัญ
เมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ.2565 เวลาประมาณ 16.00 น. พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น., พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการที่ 5 กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. สืบสวนติดตามจับกุมตัวนัท สามโคก ได้ตามหมายจับศาลจังหวัดลพบุรี ที่ 52/2565 ลงวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2565 ในข้อกล่าวหา “โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมหรือไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน , ฉ้อโกงและเป็นการฉ้อโกงประชาชน” โดยจับกุมได้บริเวณหน้าหอพักในซอยสุขี 1/13 ตำบลบางพูน อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี
ในชั้นจับกุมผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตามข้อกล่าวหาตามหมายจับ พร้อมให้ข้อมูลว่าเดิมทีตนเคยทำงานเป็นพนักงานขายอะไหล่รถยนต์ของร้านจำหน่ายอะไหล่รถยนต์แห่งหนึ่งภายในตลาดพูนทรัพย์ย่านปทุมธานี ซึ่งทางร้านมีการโพสต์จำหน่ายสินค้าให้แก่ลูกค้าผ่านทางออนไลน์ ตนจึงเรียนรู้วิธีการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ต่อมาช่วงประมาณปี 2562 ตนเองเริ่มติดเล่นเสียพนันออนไลน์ จึงคิดที่จะหาเงินทางลัด จึงเริ่มสร้างเฟซบุ๊กเข้าไปโพสต์หลอกขายอะไหล่รถยนต์ในกลุ่มเฟซบุ๊กต่างๆ จนกระทั่งกลุ่มผู้เสียหายมีการตั้งไลน์กลุ่มขึ้นมาเพื่อตามล่าตัวผู้ก่อเหตุ ซึ่งในครั้งนั้นพบว่ามีผู้เสียหายจำนวนมากถึง 49 คน และมีการแจ้งความร้องทุกข์ไว้ตามท้องที่ต่างๆ ทั้งในเขตนครบาล และต่างจังหวัดเกือบทุกภาค
จนต่อมาช่วงเดือนมิถุนายน 2563 จึงถูกจับกุมในท้องที่ สภ.สามโคก นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.ศรีเทพ ภ.จว.เพชรบูรณ์ และได้รับการประกันตัวในชั้นศาล โดยศาลให้ติดกำไล EM ขณะประกันตัว แต่เนื่องจากตัวนายกิจติชัย กลัวการติดคุก และมั่นใจว่าจะสามารถหลบหนีตำรวจได้ จึงตัดสายกำไล EM เพื่อหลบหนี รวมทั้งย้ายที่อยู่ และกลับไปก่อเหตุโพสต์เฟซบุ๊กหลอกขายอะไหล่รถยนต์มือสองในกลุ่มเฟซบุ๊กต่างๆ รวมกว่า 50 กลุ่ม อย่างต่อเนื่องอีกเช่นเคย
ผู้ต้องหารับว่า ณ ปัจจุบันใช้บัญชีเฟซบุ๊กในการก่อเหตุ 3 บัญชี คือ (1) ชื่อบัญชี “อารีฤทธิ์ ฤทธิ์วิวัฒนาคุณ” (2) ชื่อบัญชี “ พรเทพ แซ่ลิ้ม ” (3) ชื่อบัญชี “ Tammasaksit Sitti Arnugun” โดยรับว่าใช้บัญชีธนาคารสำหรับรองรับเงินที่หลอกได้จากผู้เสียหายประกอบด้วย 1) QR code พร้อมเพย์ จากแอปพลิเคชั่นเป๋าตังเพย์ หมายเลข 006 66000039 4976 ชื่อบัญชีกิจติชัย เข็มทอง ผูกกับเบอร์โทรศัพท์หมายเลข 0809068044 2) บัญชีธนาคารเกียรตินาคินภัทร เลขที่ 2008153926 ชื่อบัญชีณัฐพงศ์ ทิพย์เจริญ 3) บัญชีธนาคารกสิกรไทย เลขที่ 1361228770 ชื่อบัญชีจารุเดช เดชป้อง 4) บัญชีธนาคารกสิกรไทย เลขที่ 1181420827 ชื่อบัญชีจารุเดช เดชป้อง
จากการก่อเหตุตั้งแต่ปี 2562 ถึงปัจจุบัน ผู้ต้องหารับว่าได้เงินจากการก่อเหตุมากกว่า 2,500,000 บาท เงินที่ได้ส่วนใหญ่นำไปใช่เล่นพนันออนไลน์ เที่ยวเตร่ ตลอดจนเช่าที่พักเพื่อหลบหนีจากถูกจับกุมจากตำรวจและเจ้าหน้าที่ตำรวจศาล
เมื่อตรวจสอบประวัติการกระทำความผิดของผู้ต้องหาในฐานข้อมูลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่าผู้ต้องหาเคยถูกดำเนินคดีรวมทั้งหมด ทั้งที่เคยถูกจับกุมได้ และยังต้องการตัวเพื่อดำเนินคดี รวม 8 คดี ประกอบด้วย
- คดีที่ 1 ปี 2562 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ตัวการในข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ” ท้องที่ สภ.สามโคก สถานะแจ้งข้อกล่าวหา/ไม่ควบคุมตัว
- คดีที่ 2 ปี 2563 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกง” ท้องที่ สภ.เมืองกาญจนบุรี สถานะควบคุมตัว/ถอนหมายจับ
- คดีที่ 3 ปี 2563 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ตัวการในข้อหาฉ้อโกง,ตัวการในข้อหา นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมฯ” ท้องที่ สภ.สามโคก สถานะควบคุมตัว/ถอนหมายจับ
- คดีที่ 4 ปี 2564 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ ฉ้อโกง ” ท้องที่ สภ.รัตนาธิเบศร์ สถานะควบคุมตัว/ถอนหมายจับ
- คดีที่ 5 ปี 2564 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ ตัวการในข้อหาผู้ใดกระทำความผิดโดยการ นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูล คอมพิวเตอร์ปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนฯ” ท้องที่ สภ.เหล่าต่างคำ ภ.จว.หนองคาย สถานะหลบหนี
- คดีที่ 6 ปี 2564 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ตัวการในข้อหาฉ้อโกงประชาชน,ตัวการในข้อหาผู้ใดกระทำความผิดโดยการ นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูล คอมพิวเตอร์ปลอมฯ” ท้องที่ สภ.ศรีเทพ ภ.จว.เพชรบูรณ์ สถานะควบคุมตัว/ถอนหมายจับ
- คดีที่ 7 ปี 2565 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ตัวการในข้อหาผู้ใดกระทำความผิดโดยการ นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูล คอมพิวเตอร์ปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนฯ ” ท้องที่ สภ.เมืองลพบุรี สถานะหลบหนี
- คดีที่ 8 ปี 2565 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ ฉ้อโกง, ผู้ใดกระทำความผิดโดยการ นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูล คอมพิวเตอร์ปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนฯ ” ท้องที่ สภ.เมืองพิษณุโลก สถานะหลบหนี
ตำรวจชุดจับกุมได้ทำหนังสือประสานเพื่อให้พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบแต่ละคดีอายัดตัวผู้ต้องหา เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายให้ครบถ้วนเป็นที่เรียบร้อย จึงนำตัวผู้ต้องหาส่ง สภ.เมือง ลพบุรี จังหวัดลพบุรี ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. กล่าวแจ้งเตือนภัยไปยังพี่น้องประชาชนว่า ในสังคมปัจจุบันมิจฉาชีพมีกลโกงมากมายหลายรูปแบบ ขอให้ประชาชนได้โปรดใช้สติในการใช้ชีวิตในสังคม อย่างหลงเชื่อกลโกง หรือสินค้าที่มีราคาถูกเกินกว่าราคาและคุณภาพที่ควรจะเป็น เนื่องจากมิจฉาชีพมักใช้ความโลภเห็นแก่ผลกำไรมาเป็นจุดล่อใจให้ประชาชนหลงกล ควรมีสติวิเคราะห์ถึงพฤติกรรม กลโกง หากไม่แน่ใจ หรือสงสัยว่าบุคคลที่เข้ามาเสนอผลประโยชน์ เสนอขาย หรือชักชวนลงทุนในด้านต่างๆ นั้นจะเป็นมิจฉาชีพหรือไม่ ให้แจ้งตำรวจเข้าตรวจสอบ หรือแจ้งเบาะแสการกระทำความผิด มายังเพจ “สืบสวนนครบาล IDMB” ได้ตลอด 24 ชม. แม้จะเป็นคดีที่มีความเสียหายไม่มาก แต่หากเป็นคดีที่ประชาชนเดือดร้อน เราทำทันที.-สำนักข่าวไทย