สหรัฐ 7 ก.พ.- หลายรัฐของสหรัฐต่างเรียกร้องให้ระงับคำสั่งห้ามพลเรือนจาก 7 ชาติมุสลิมเข้าสหรัฐของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไว้ก่อน เพราะหากนำออกมาใช้อีกก็จะเกิดความวุ่นวายขึ้นอีก
ที่ปรึกษาแห่งรัฐวอชิงตันและรัฐมินนิโซตา ได้เรียกร้องไปยังศาลอุทธรณ์กลางในนครซานฟรานซิสโกให้ระงับคำสั่งดังกล่าวของประธานาธิบดีทรัมป์ เอาไว้ก่อนโดยได้รับการสนับสนุนจากบริษัทเกี่ยวกับเทคโนโลยีต่างๆ ที่อ้างว่าคำสั่งดังกล่าวเป็นอันตรายต่อธุรกิจของตนอย่างมาก คาดว่าจะมีความเคลื่อนไหวจากฝ่ายกฎหมายของประธานาธิบดีทรัมป์ในวันนี้ โดยหมายถึงการยื่นเอกสารทางกฎหมายเพิ่มเติมได้ ภายใน 08.00 น.วันนี้ตามเวลาในไทย เพื่ออุทธรณ์คำสั่งของผู้พิพากษาศาลรัฐบาลกลางในรัฐวอชิงตัน ที่พิพากษาสั่งระงับคำสั่งของทรัมป์ ที่ห้ามชาวมุสลิม 7 ประเทศเข้าสหรัฐเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยฝ่ายรัฐบาลยังมีสิทธิ์ยื่นต่อศาลสูงอีกหากคำร้องอุทธรณ์ไม่เป็นผล
ก่อนหน้านี้ นายทรัมป์ได้แสดงความไม่พอใจท่าทีของศาลที่ออกระงับคำสั่งของเขา และอ้างว่าทำให้ความมั่นคงของชาติต้องตกอยู่ในภาวะเสี่ยงอันตรายโดยไม่จำเป็น ขณะที่บุคคลสำคัญในด้านความมั่นคงอย่างนายจอห์น แคร์รี และนางเมดเดลีน ออลไบรท์ สองอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ รวมทั้งนายลีออน แพเนตตา อดีตผู้อำนวยการซีไอเอ ต่างออกมาบอกว่าคำสั่งห้ามชาวมุสลิมเข้าประเทศของนายทรัมป์นี้ไม่มีประสิทธิภาพ อันตรายและอาจเกิดผลในทางตรงกันข้าม ขณะเดียวกัน กลุ่ม 97 บริษัทด้านเทคโนโลยีของสหรัฐ นำโดยแอปเปิล เฟซบุ๊ก และไมโครซอฟท์ แต่ไม่รวมอเมซอนและเทสลา ต่างพากันยื่นคำร้องว่า คำสั่งของประธานาธิบดีทรัมป์ซึ่งให้ระงับโครงการรับผู้อพยพทั้งหมดเป็นเวลา 120 วันและห้ามผู้อพยพจากซีเรียทั้งหมดและห้ามพลเรือนจาก 7 ชาติมุสลิมเข้าสหรัฐนั้นส่งผลกระทบด้านลบต่อการทำธุรกิจของพวกเขา และย้ำว่ารัฐบาลน่าจะปรับปรุงระบบตรวจคนเข้าเมืองให้สอดคล้องกับการยกระดับด้านความปลอดภัย มากกว่าจะออกคำสั่งเช่นนี้เพราะเท่ากับเป็นการทำลายผลประโยชน์ของชาวอเมริกัน.-สำนักข่าวไทย