ต่างประเทศ 27 มี.ค. – อิตาลีมีการระบาดของโควิด-19 รุนแรงที่สุดในยุโรป และมีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในโลก 8,215 คน ติดเชื้อ 80,539 คน ห่วงพื้นที่ภูมิภาคทางใต้ของประเทศอาจกลายเป็นศูนย์กลางการระบาดถัดไป ด้านสหรัฐสถานการณ์น่าเป็นห่วง หลังมีผู้ติดเชื้อแซงหน้าทุกประเทศขึ้นเป็นอันดับ 1 จำนวน 82,404 คน และมีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 1,100 คน
อิตาลีที่มีการระบาดรุนแรงที่สุดในยุโรป และมีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในโลก โดยมีผู้เสียชีวิต 8,215 คน ผู้ติดเชื้อมี 80,539 คน แม้ยอดผู้ติดเชื้อที่ลดลงต่อเนื่อง 4 วัน แต่กลับพบเพิ่มทวีจำนวนขึ้นอีกในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา แต่โดยทั่วไปถือว่าการระบาดในเขตทางเหนือ รวมทั้งภูมิภาคลอมบาร์ดี ที่เป็นศูนย์กลางการระบาด เริ่มส่งสัญญาณด้านบวก การระบาดอาจถึงจุดพีกสูงสุดแล้ว
เจ้าหน้าที่อิตาลีเริ่มเป็นห่วงภูมิภาคทางใต้ เช่น พื้นที่โดยรอบเมืองเนเปิลส์หรือนาโปลี และเมืองลาซิโอ ซึ่งยากจนกว่าและไม่พร้อมด้านระบบสาธารณสุข อาจกลายเป็นศูนย์กลางระบาดถัดไป ถ้าเป็นจริง ปัญหาอาจเลวร้าย ผู้นำท้องถิ่นส่งจดหมายร้องเรียนถึงรัฐบาลกลางไม่ได้ส่งเครื่องมือแพทย์และอื่นๆ มาให้ตามที่สัญญาไว้ เตือนวิกฤติที่เกิดในลอมบาร์ดีกำลังจะเกิดในพื้นที่ทางใต้
ส่วนที่สเปนที่มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 พุ่งแซงหน้าจีนที่เป็นต้นตอการระบาดเมื่อวันพุธ ยอดผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 4,089 คน มากที่สุดในโลกเป็นอันดับ 2 รองจากอิตาลี ผู้ป่วยสะสมเพิ่มขึ้นเป็น 56,188 คน รวมทั้งนางคาร์เมน กัลโบ รองนายกรัฐมนตรีนั้น รัฐบาลสเปนได้ขยายเวลาบังคับใช้การประกาศภาวะฉุกเฉินออกไปอีก 2 สัปดาห์ หรือไปจนถึงวันที่ 12 เม.ย. หลังยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่า นับแต่เริ่มประกาศภาวะฉุกเฉินเมื่อวันที่ 14 มี.ค.
โฆษกรัฐบาลสเปนแถลงด้วยว่า สเปนกำลังอยู่ในสงครามที่แท้จริง เพื่อต่อสู้ให้ได้มาซึ่งเครื่องช่วยหายใจ หน้ากากอนามัย และชุดตรวจไวรัสรู้ผลเร็ว เพราะทุกประเทศต่างยื้อแย่งอยากได้จากประเทศจีน แหล่งข่าวที่เป็นนักการทูตคนหนึ่งเผยด้วยว่า บางกรณีผลิตภัณฑ์เหล่านี้ราคาแพงขึ้นกว่า 10 เท่า บริษัทจีนยังขอให้จ่ายเงินล่วงหน้า และมักมีพ่อค้าคนกลางโก่งราคาจากผู้ซื้อ
ด้านสหรัฐสถานการณ์น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง หลังมีผู้ติดเชื้อแซงหน้าทุกประเทศขึ้นอันดับ 1 ที่ 82,404 คน และมีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 1,100 คน ผลกระทบจากโควิด-19 ในสหรัฐส่งผลให้มีคนตกงานต้องยื่นเอกสารขอความช่วยเหลือในสัปดาห์นี้มากเป็นประวัติการณ์ถึง 3.3 ล้านคน อย่างไรก็ดี ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ยังคงเชื่อว่าประเทศจะผ่านพ้นวิกฤติและกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้ได้โดยเร็ว.-สำนักข่าวไทย