ปารีส 26 ธ.ค.- ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า เศรษฐกิจโลกปี 2563 มีความไม่แน่นอนเพราะหลายปัจจัย ตั้งแต่การเมืองสหรัฐ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไปจนถึงการปรับเปลี่ยนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล แต่ไม่น่าจะซวนเซจนกลับไปเกิดวิกฤตครั้งใหม่
องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจหรือโออีซีดี (OECD) คาดว่าปีหน้าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวเพียงร้อยละ 2.9 ต่ำที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตการเงินโลกเข้าสู่จุดสูงสุดในปี 2552 เพราะถึงแม้ธนาคารกลางหลายประเทศดำเนินมาตรการเชิงรุก แต่รัฐบาลกลับเตะถ่วงการดำเนินนโยบายทั้งที่โลกกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศและมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือไอเอ็มเอฟ (IMF) คาดการณ์ในแง่ดีกว่าเล็กน้อยว่า เศรษฐกิจโลกปีหน้าจะขยายตัวร้อยละ 3.4 แต่เตือนว่าอาจเกิดการชะลอตัวและการฟื้นตัวอย่างไม่แน่นอนขึ้นในเวลาเดียวกัน
ลูโดวิก ซูบราน นักเศรษฐศาสตร์ของอลิอันซ์ บริษัทประกันยักษ์ใหญ่ของเยอรมนีมองว่า กำลังจะเกิดการเติบโตแบบชำระล้างขึ้นทั่วโลก การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันแบบเป็นระบบไม่น่าจะเกิดขึ้นในภาคการเงิน แต่จะเกิดจากภายนอก เช่น การเปลี่ยนแปลงระเบียบครั้งใหญ่อย่างกะทันหันในเรื่องข้อมูลส่วนบุคคลหรือเรื่องเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ ส่วนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐหากรอดจากกระบวนการอภิปรายถอดถอนจากตำแหน่งและได้รับเลือกตั้งอีกสมัย เขาอาจเพิ่มเดิมพันกับจีนเป็นสองเท่าและเสี่ยงเกิดการเผชิญหน้าทางทหารขึ้นได้
ด้านตัวแทนพนักงานบริษัทมาเล ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในเยอรมนีเผยว่า พวกเขาไม่กังวลเรื่องจะเอาชนะวิกฤตที่เป็นวัฏจักรเพราะรู้อยู่แล้วว่าจะต้องทำอย่างไร แต่กังวลเรื่องการปรับเปลี่ยน การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า หากรถไฟฟ้าราคาถูกจากจีนท่วมตลาดโลก จะมีคนตกงานจำนวนมาก ส่วนเอสเธอร์ ดูโฟล นักวิชาการชาวฝรั่งเศส เตือนหลังได้รับการประกาศชื่อเป็นเจ้าของรางวัลโนเบลร่วมสาขาเศรษฐศาสตร์ประจำปีนี้ว่า แม้แต่คนที่มีความสะดวกสบายทางวัตถุอาจทนทุกข์และไร้ความสุขไม่ต่างจากคนยากจนข้นแค้นที่สุด ความไม่เสมอภาคในการกระจายการความมั่งคั่งมีแนวโน้มรุนแรงยิ่งขึ้นหลังจากที่เป็นชนวนเหตุการประท้วงตั้งแต่ฮ่องกงไปจนถึงชิลี ข้อมูลของอ็อกซ์แฟม องค์กรการกุศลในอังกฤษเผยว่า ปี 2561 มหาเศรษฐี 26 คนมีทรัพย์สินเท่ากับคนยากจนครึ่งโลกรวมกัน.- สำนักข่าวไทย