บุรีรัมย์ 9 มิ.ย.- กรณีการเสียชีวิตของนักศึกษา ซึ่งถูกรุ่นพี่ทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสก่อนเสียชีวิตหลังรักษาตัวที่โรงพยาบาล 8 วัน ล่าสุดตำรวจอยู่ระหว่างสอบสวนและเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาดำเนินคดี
ผู้สื่อข่าว สำนักข่าวไทย ลงพื้นที่ไปพบกับนางมนัสนันท์ ตามกลาง แม่ของนายวีรพัฒน์ ตามกลาง หรือ “น้องปลื้ม” อายุ 22 ปี นักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย ซึ่งเสียชีวิตหลังถูกรุ่นพี่ทำร้ายร่างกายด้วยการเวียนเตะที่หน้าอกจนบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิต โดยเรียกร้องให้ สน.ปทุมวัน เร่งจับกุมผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีก่อนที่จะมีการฌาปนกิจลูกชายในวันพรุ่งนี้ (10 มิ.ย.) เพื่อหวังให้ลูกชายนอนตายตาหลับ และหากรุ่นพี่ที่ทำร้ายมีจิตสำนึกควรเดินทางมาขอขมาศพ ซึ่งครอบครัวพร้อมอโหสิกรรม โดยอยากให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ รวมถึงอยากให้หยุดวัฒนธรรมรับน้องรุนแรง และเป็นไปได้อยากให้มหาวิทยาลัยสัญญากับผู้ปกครองว่าจะไม่เกิดเหตุซ้ำรอย เนื่องจากเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงและมีเด็กหลายคนใฝ่ฝันเข้าไปศึกษา
ก่อนหน้านั้น เมื่อคืนที่ผ่านมา ผู้บริหารมหาวิทยาลัยฯ ได้เข้าร่วมพิธีสวดพระอภิธรรม พร้อมเป็นเจ้าภาพและมอบเงินช่วยเหลือครอบครัวในเบื้องต้น โดยเปิดเผยว่า รุ่นพี่ 12 คนสารภาพว่าได้ทำร้ายผู้ตายจริง ส่วนใครทำร้ายในลักษณะใดนั้นเป็นข้อมูลของตำรวจที่อยู่ในสำนวนคดี แต่ได้เสนอชื่อนักศึกษาทั้ง 12 คนให้อธิการบดีลงโทษขั้นสูงสุด คือไล่ออกแล้ว
ขณะที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยเหตุการณ์การเสียชีวิต โดยเหตุเกิดขึ้นในอาคารเรียนคณะวิศวกรรมโยธา เวลาประมาณ 18.00 น. ของวันที่ 27 พฤษภาคม จากนั้นมีการนำตัวส่งโรงพยาบาลหัวเฉียวและเข้าห้อง ICU รักษาอาการบาดเจ็บ ก่อนถูกส่งต่อไปที่โรงพยาบาลมหาราช จังหวัดนครราชสีมา ในวันที่ 2 มิถุนายน จากนั้นคณาจารย์มหาวิทยาลัยได้ลงบันทึกประจำวันเกี่ยวกับการเข้าไปใช้สถานที่โดยไม่ได้รับอนุญาต จนวันที่ 5 มิถุนายน “น้องปลื้ม” เสียชีวิต และแพทย์ระบุสาเหตุว่า “ลิ่มเลือดที่น่องหลุดไปอุดตันเส้นเลือดขั้วปอด”
อย่างไรก็ตาม จากการสอบปากคำพยานพบว่านักศึกษารุ่นพี่กลุ่มนี้ไม่ได้ขออนุญาตจัดกิจกรรม และพบข้อมูลว่ารุ่นพี่ได้เตะที่หน้าอกของ “น้องปลื้ม” จริง โดยวันนี้ (9 มิ.ย.) จะได้รับไฟล์ภาพวงจรปิดทั้งหมดมาตรวจสอบ หากพบหลักฐานชัดเจนว่าใครเกี่ยวข้องในคดีจะออกหมายเรียกมาสอบปากคำ เพื่อเอาผิดฐาน “ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย”.-สำนักข่าวไทย