กรุงเทพฯ 7 ก.พ.-พบศพเจ้าของโรงแรมดังกลางกรุง วัย 83 ปี เสียชีวิตในสระน้ำของโรงแรม แม่บ้านพบร่างผงะ! ยันเจอครั้งสุดท้ายเย็นวาน ท่าทางปกติ ไม่มีอาการเครียด ญาติเผยป่วยซึมเศร้า-ไบโพล่า
วันนี้ (7 ก.พ.) เมื่อเวลา 10.00 น. ร.ต.อ.พิทยุตม์ มีนชัยนันท์ รอง สว.สอบสวน สน.สุทธิสาร รับแจ้งมีเหตุพบศพหญิงเสียชีวิตอยู่ในสระน้ำของโรงแรมแห่งหนึ่ง ภายในซอยวิภาวดี 6 จึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบ ก่อนเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมด้วยแพทย์นิติเวช รามาธิบดี และเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู โดยที่เกิดเหตุเป็นโรงแรม 10 ชั้น โรงแรมมีสภาพเก่าที่บริเวณชั้น 3 เป็นสระน้ำพบศพหญิงสูงอายุ 1 ราย ทราบชื่อ คือ นางวรปราณี อายุ 83 ปี เป็นเจ้าของโรงแรม สภาพศพนอนคว่ำหน้าเสียชีวิตอยู่ภายในสระ นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจยังพบรองเท้าใส่เดินของผู้ตาย 1 ข้าง ตกอยู่บริเวณบันไดหนีไฟ บริเวณชั้น 6 ใกล้กันมีหน้าต่างเปิดอยู่ 1 บาน ซึ่งหากมองลงมาก็จะตรงกับสระว่ายน้ำที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบห้องพักของผู้เสียชีวิตที่บริเวณชั้น 9 ห้อง 901 ไม่พบร่องรอยการรื้อค้นภายในห้อง พบสมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร ซึ่งมียอดเงินคงเหลือในบัญชีหลายล้านบาท รถที่ผู้ตายใช้ในชีวิตประจำวัน รถเบนซ์จอดอยู่ที่บริเวณลานจอดรถ
ทั้งนี้ จากการสอบถามแม่บ้านของโรงแรม กล่าวว่า ตนเองเป็นผู้พบเห็นผู้เสียชีวิตครั้งสุดท้ายช่วงเย็นเมื่อวานนี่ช่วง 16.00 น. มีท่าทางปกติ ไม่มีอาการเครียดจากการที่ไม่มีคนเข้าพักโรงแรมแต่อย่างใด และช่วงเช้าวันนี้ปกติผู้เสียชีวิตจะต้องลงมารับประทานอาหารเช้า แต่ปรากฎว่าไม่มา ส่วนตนเองกำลังจะรดน้ำต้นไม้ที่บริเวณชั้นล่าง แต่สายยางที่ใช้แตก จึงเดินขึ้นมาบริเวณที่ชั้น3 เพื่อจะมาเอาสายยางที่บริเวณสระว่ายน้ำเพื่อเอาสายยางใหม่ จึงพบศพอยู่ในสระน้ำ จึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนตัวไม่เชื่อว่าจะเป็นการฆ่าตัวตาย เพราะที่ผ่านมาผู้เสียชีวิตไม่ได้มีท่าทางเครียดแต่อย่างใด ผู้ตายชอบใส่ของมีค่าหรือเครื่องประดับติดตัว ส่วนด้านครอบครัวของผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า ผู้เสียชีวิตเป็นโรคซึมเศร้าและเป็นไบโพล่า รวมถึงมีโรคประจำตัวแขนขาอ่อนแรง มักจะเดินลากขาเป็นประจำ
อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ไม่พบร่องรอยบาดแผล คาดผู้ตายเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 2-8 ชั่วโมง และยังไม่ตัดประเด็นว่าเป็นการฆ่าตัวตายหรือไม่ เนื่องจากต้องรอผลการชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิตอย่างละเอียด และตรวจสอบร่องรอยในที่เกิดเหตุว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตหรือไม่ .-สำนักข่าวไทย